Categories
กราฟิก

แนะนำ 3 โปรแกรมกราฟิกสำหรับการสร้างสรรค์ผลงานภาพเวกเตอร์

คุณรู้หรือไม่? ว่าคุณสามารถสร้างสรรค์ผลงานกราฟิกแบบภาพเวกเตอร์ได้ง่าย ๆ ด้วยโปรแกรมกราฟิกที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งภาพเวกเตอร์เป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นด้วยส่วนประกอบของเส้นลักษณะต่าง ๆ และสีของเส้นนั้น ๆ ในปัจจุบันงานศิลปะเวกเตอร์ถูกใช้ในแอปพลิเคชันดิจิทัลจำนวนมาก เนื่องจากภาพเวกเตอร์ใช้จุด เส้นโค้ง และเส้นที่มีสมการทางคณิตศาสตร์ในตัว ช่วยให้แต่ละองค์ประกอบสามารถปรับขนาดเป็นขนาดใดก็ได้ตามสัดส่วนและเป็นธรรมชาติ โดยไม่สูญเสียคุณภาพของภาพ ด้วยเหตุนี้กราฟิกแบบเวกเตอร์จึงนิยมนำมาใช้ในการออกแบบกราฟิกสำหรับโลโก้ เสื้อยืด และสถานการณ์อื่น ๆ ที่ต้องใช้รูปภาพในขนาดต่าง ๆ

หลายคนมักสับสนระหว่างภาพเวกเตอร์กับภาพแรสเตอร์ ซึ่งภาพแรสเตอร์ประกอบด้วยพิกเซล และเมื่อขยายภาพมักจะเอียงและบิดเบี้ยว เมื่อใช้โปรแกรมกราฟิกไฟล์ภาพเวกเตอร์จะสามารถแปลงเป็นไฟล์แรสเตอร์ได้ เช่น ไฟล์ประเภท .JPG, .PNG, .TIFF หรือ .GIF และกราฟิกแรสเตอร์สามารถแปลงเป็นรูปแบบไฟล์เวกเตอร์ได้ (.AI, .EPS หรือ ประเภทไฟล์ .SVG) สำหรับโปรแกรมกราฟิกนั้นมีหลากหลายโปรแกรมที่สามารถใช้สร้างสรรค์ผลงานกราฟิกแบบเวกเตอร์ ซึ่งบทความนี้จะพาคุณไปพบกับ 3 โปรแกรมกราฟิกที่สามารถใช้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะเวกเตอร์ได้ง่าย ๆ 

แนะนำ 3 โปรแกรมกราฟิกสำหรับการสร้างสรรค์ผลงานภาพเวกเตอร์

แนะนำ 3 โปรแกรมกราฟิกเพื่อใช้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะเวกเตอร์

ในปัจจุบันโปรแกรมกราฟิก ถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับการออกแบบภาพเวกเตอร์ ซึ่งจากข้อมูลข้างต้นคุณจะเห็นได้ว่าศิลปะเวกเตอร์มักถูกนำไปใช้ในการออกแบบโลโก้ เสื้อยืด และรูปภาพในขนาดต่าง ๆ ซึ่งการออกแบบเหล่านี้สามารถสร้างขึ้นได้ง่าย ๆ ด้วย 3 โปรแกรมกราฟิกที่เรานำมาแนะนำ ดังนี้

1.Adobe Illustrator

โปรแกรมที่สร้างขึ้นเพื่อใช้สร้างสรรค์ผลงานการออกแบบด้านกราฟิก และงานกราฟิกแบบเวกเตอร์โดยเฉพาะ ส่วนนามสกุลของไฟล์ Vector ที่เห็นได้บ่อย ๆ คือไฟล์ PDF ไฟล์ EPS ไฟล์ SVG และไฟล์ AI เป็นต้น นอกจากนี้คุณสามารถส่งออกภาพเวกเตอร์ของคุณไปยังโปรแกรม Photoshop หรือ InDesign ได้ง่าย ๆ

แนะนำ 3 โปรแกรมกราฟิกสำหรับการสร้างสรรค์ผลงานภาพเวกเตอร์

2.Inkscape

โปรแกรมวาดภาพกราฟิกเวกเตอร์ โปรแกรมที่มีคุณสมบัติในการสร้างรูปร่างและแก้ไขกราฟิก SVG ซึ่งทำให้คุณปรับขนาดของภาพได้โดยไม่สูญเสียคุณภาพของภาพ

แนะนำ 3 โปรแกรมกราฟิกสำหรับการสร้างสรรค์ผลงานภาพเวกเตอร์

3.CorelDRAW

โปรแกรมสร้างและแก้ไขภาพกราฟิกส์เวกเตอร์ ใช้ในการวาดภาพ ปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างมากในการสร้างสื่อโฆษณา เนื่องจากเป็นอีกหนึ่งโปรแกรมที่มีประสิทธิภาพสูง และส่วนใหญ่จะทำงานกับไฟล์รูปภาพเวกเตอร์ ที่จัดเก็บข้อมูลรูปภาพในแบบ 2 มิติ (2D) มากกว่า 3 มิติ (3D) ซึ่งจะใช้นามสกุลของไฟล์ว่า CDR

แนะนำ 3 โปรแกรมกราฟิกสำหรับการสร้างสรรค์ผลงานภาพเวกเตอร์

บทสรุป

จากข้อมูลข้างต้นหลายคนคงทราบกันดีว่าโปรแกรมกราฟิกที่สามารถใช้สร้างสรรค์ผลงานกราฟิกแบบเวกเตอร์นั้นมีหลายหลากโปรแกรม แต่เราเลือกมาแนะนำเพียงแค่ 3 โปรแกรมตัดต่อยอดนิยมเท่านั้น ซึ่งแต่ละโปรแกรมต่างก็มีคุณสมบัติที่โดดเด่นในการสร้างสรรค์ผลงานภาพเวกเตอร์ ซึ่งแน่นอนว่าก่อนที่คุณจะเริ่มต้นใช้งานควรเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้งานโปรแกรมนั้น ๆ ก่อน เพื่อการสร้างสรรค์ผลงานที่โดดเด่น และรวดเร็ว นอกจากนี้ด้วยความที่ภาพเวกเตอร์มีความสามารถปรับขนาดภาพได้โดยไม่สูญเสียคุณภาพของภาพ จึงทำให้มันถูกนำไปใช้ประโยชน์ในงานด้านการออกแบบมากมาย เช่น การออกแบบโลโก้ เสื้อผ้า ป้ายโฆษณาหรือโปสเตอร์ และวิชาการพิมพ์

ผู้สนับสนุน: ไทยไฮโล

Categories
กราฟิก

5 วิธีใช้งานที่ควรรู้เกี่ยวกับ Illustrator สำหรับผู้เริ่มต้นใช้งาน

หากคุณเป็นนักออกแบบกราฟิก หรือคนที่ชื่นชอบการออกแบบกราฟิก ต้องรู้จักโปรแกรม Illustrator ซึ่งเป็นโปรแกรมสร้างภาพดิจิทัลและภาพพิมพ์ที่หลากหลาย รวมถึงการ์ตูน แผนภูมิ ไดอะแกรม กราฟ โลโก้ และภาพประกอบต่าง ๆ โดยสามารถใช้งานได้บนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ Windows หรือ MacOS Illustrator เป็นอีกหนึ่งโปรแกรมในตระกูล Adobe เปิดตัวครั้งแรกในปี 1987 และยังคงได้รับการอัปเดตเรื่อย ๆ ทำให้โปรแกรมนี้มีเครื่องมือในใช้งานที่หลากหลาย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การใช้งานเครื่องมือภายในโปรแกรม Illustrator ค่อนข้างซับซ้อน ดังนั้นในบทความนี้จะพาคุณไปพบกับ 5 วิธีการใช้งานพื้นฐานที่ควรรู้เกี่ยวกับโปรแกรม Illustrator สำหรับผู้เริ่มต้นใช้งาน ซึ่งจะมีอะไรบ้างนั้น มาติดตามกันเลยค่ะ

5 วิธีการใช้งานพื้นฐานของโปรแกรม Illustrator สำหรับผู้เริ่มต้นใช้งาน

ด้วยความที่โปรแกรม Illustrator มีความสามารถในการสร้างและแก้ไขภาพเวกเตอร์ จึงทำให้โปรแกรมนี้มีความสามารถสำหรับการบันทึกไฟล์ในรูปแบบกราฟิกแบบแบบเวกเตอร์ ได้แก่ Scalable Vector Graphics (SVG), Portable Document Format (PDF), Encapsulated PostScript (EPS), Windows Metafile (WMF) และ Vector Markup Language (VML) และนี่คือ 5 วิธีการใช้งานพื้นฐานของโปรแกรม Illustrator ดังนี้

5 วิธีใช้งานที่ควรรู้เกี่ยวกับ Illustrator สำหรับผู้เริ่มต้นใช้งาน

1.การเริ่มต้นเปิด Project

คุณสามารถเริ่มเปิด Project ใหม่ได้ง่าย ๆ โดยคลิก File> New แล้วหน้าต่างจะปรากฏหน้าต่าง New Document ในคุณสามารถระบุข้อกำหนดต่าง ๆ สำหรับเอกสารของคุณก่อนเริ่มต้นใช้งาน นอกจากนี้คุณสามารถปรับแต่งเอกสารของคุณได้ทุกเมื่อโดยคลิก File> Document setup หรือทางลัดที่แป้นพิมพ์ Alt+Ctrl+P

2.การสร้างรูปทรงต่าง ๆ 

คุณสามารถสร้างสร้างรูปทรงต่าง ๆ ด้วยเครืองมือดังต่อไปนี้

สามารถสร้างเส้นตรงได้ โดยคลิกไปที่เครื่องมือ line segment tool และอย่าลืมกดปุ่ม shift เพื่อสร้างเส้นตรงที่สมบูรณ์แบบ 

สามารถสร้างรูปหลายเหลี่ยมได้ โดยคลิกไปที่เครื่องมือ polygon tool และต้องระบุจำนวนด้านของรูปทรง

สามารถสร้างเส้นโค้งได้ โดยคลิกไปที่เครื่องมือ pen tool และระบุจุด 2 จุด โดยให้คลิกค้างไว้ที่จุดที่2 จากนั้นให้ลากเมาส์ เพื่อกำหนดรูปร่างเส้นโค้ง

3.การจับคู่สี

หากคุณต้องการจับคู่สีของรูปภาพ มีทางเลือก 2 ทาง นั่นคือ 

การใช้เครื่องมือ Eyedrop โดยการเลือกองค์ประกอบของภาพที่คุณต้องการจับคู่ จากนั้นเลือกเครื่องมือ Eyedrop และคลิกบนสีที่ต้องการ 

การใช้แผงตัวเลือกสี โดยการเลือกองค์ประกอบของรูปภาพด้วยสีที่ต้องการ จากนั้นดับเบิลคลิกที่ตัวเลือกสี และแผงสีจะปรากฏขึ้น คุณสามารถดูรหัสสี แล้วคัดลอกและวางบนรูปภาพที่คุณต้องการแก้ไขได้

4.การปรับแต่งขนาดอาร์ตบอร์ด

หากคุณต้องการให้รูปภาพของคุณถูกบันทึกโดยไม่มีพื้นที่ส่วนเกินที่คุณไม่ต้องการ คุณสามารถแก้ไขได้ง่าย ๆ โดยคลิกไปที่เครื่องมือ Art-board tool หรือใช้ทางลัดบนแป้นพิมพ์ Shft+8

5.การบันทึกเวกเตอร์และส่งออกแรสเตอร์

Adobe Illustrator ช่วยให้คุณสามารถบันทึกภาพในรูปแบบเวกเตอร์ได้หลายรูปแบบ และยังสามารถส่งออกภาพแรสเตอร์ เช่น .png, .jpeg, .bmp เป็นต้น การส่งออกภาพแรสเตอร์ทำได้โดยการคลิกไปที่ File> Export แล้วหน้าจอจะปรากฏหน้าต่าง เพื่อให้คุณระบุความละเอียดและสีของพื้นหลังได้ เราแนะนำให้เลือกพื้นหลังโปร่งใส เพราะจะช่วยให้คุณมีความยืดหยุ่นมากขึ้นเมื่อใช้รูปภาพในโปรแกรมต่าง ๆ เช่น Power Point

5 วิธีใช้งานที่ควรรู้เกี่ยวกับ Illustrator สำหรับผู้เริ่มต้นใช้งาน

บทสรุป

อย่างไรก็ตามจากข้อมูลข้างต้นนี่เป็นเพียงวิธีการใช้งานแค่บางส่วนที่เราพบบ่อยเท่านั้น ยังมีฟีเจอร์อื่น ๆ อีกมากมายใน Illustrator แต่หากคุณไม่อยากสร้างรูปภาพเองตั้งแต่เริ่มต้น คุณก็สามารถดาวน์โหลดภาพ svg ได้ฟรีจากแหล่งข้อมูลออนไลน์มากมาย ซึ่งคุณสามารถดาวน์โหลดมาปรับแต่งภายหลังได้ใน Illustrator นอกจากนี้โปรแกรม Illustrator ยังได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักวาดภาพประกอบ เนื่องจากรูปภาพที่สร้างใน Illustrator สามารถขยายหรือย่อได้โดยไม่ลดทอนคุณภาพของภาพ และสามารถกำหนดเส้นทางของเวกเตอร์ลักษณะต่าง ๆ ได้

Categories
กราฟิก

5 กฎออกแบบโปสเตอร์ที่นักออกแบบกราฟฟิกไม่ควรพลาด

5 กฎออกแบบโปสเตอร์ที่นักออกแบบกราฟฟิกไม่ควรพลาด

หากคุณเป็นนักออกแบบกราฟฟิก หรือเป็นเพียงแค่คนที่รักงานในด้านการออกแบบงานพิมพ์ คุณคงคุ้นเคยกับการออกแบบโปสเตอร์ ซึ่งแน่นอนว่าการออกแบบโปสเตอร์เองนั้นไม่ใช่งานยากอย่างที่หลายคนคิด ยิ่งหากคุณเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์อยู่แล้ว ยิ่งจะทำให้โปสเตอร์ของคุณนั้นสวยงามและโดดเด่นมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม การออกแบบโปสเตอร์นักออกแบบควรมีทั้งความคิดสร้างสรรค์และการคิดวิเคราะห์เนื้อหาที่ดี จึงจะทำให้โปสเตอร์ของคุณนั้นสมบูรณ์แบบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้นในบทความนี้จะพาคุณไปพบกับ 5 กฎที่สำคัญที่จะทำให้คุณออกแบบโปสเตอร์ได้อย่างมืออาชีพและสมบูรณ์แบบ

กฎ 5 ข้อสำหรับการออกแบบโปสเตอร์อย่างมืออาชีพ

กฎการออกแบบโปสเตอร์อย่างมืออาชีพ แต่ละข้อล้วนแล้วแต่มีสำคัญต่อการออกแบบโปสเตอร์ของคุณ โดยมีทั้งหมด 5 ข้อ ดังนี้

5 กฎออกแบบโปสเตอร์ที่นักออกแบบกราฟฟิกไม่ควรพลาด

1.การรวบรวมเฉพาะเนื้อหาที่สำคัญ

คุณรู้หรือไม่? ว่าผู้คนจะดูโปสเตอร์ของคุณเพียงครึ่งวินาทีหากพวกเขาไม่สนใจ หรือหากพวกเขาสนใจจริง ๆ ก็จะดูแค่ 10 วินาที ด้วยเหตุผลนี้ คุณจึงไม่ควรใส่เนื้อหาที่ไม่จำเป็นลงไปในโปสเตอร์ และควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลที่ใส่ลงไปในโปสเตอร์นั้นตรงไปตรงมา อย่างเช่น โปสเตอร์ท่องเที่ยว โปสเตอร์ที่ออกแบบมาเพื่อเชิญชวนให้ผู้คนออกไปเที่ยวควรมาพร้อมบรรยากาศที่ “สวยงาม” ทำให้ผู้คนที่พบเห็นเกิดความสนใจเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้อย่าลืมลงสถานที่บนโปสเตอร์ให้ชัดเจนด้วย

2.เรื่องการเลือกสี

การออกแบบโปสเตอร์ไม่ควรเลือกสีเดียวกันทั้งหมด ให้คุณลองไปพิจารณาเกี่ยวกับทฤษฎีสี แต่หากคุณไม่คุ้นเคยกับทฤษฎีสี ยังมีอีกหนึ่งวิธี นั่นคือการเรียนรู้เกี่ยวกับจิตวิทยาสีว่าสีใดที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกหรืออารมณ์ จะช่วยให้คุณสามารถใช้สีอย่างสร้างสรรค์และละเอียดอ่อนมากขึ้น เนื่องจากคุณไม่มีเวลาให้ความรู้แก่ผู้ชมโปสเตอร์ของคุณเกี่ยวกับการใช้สีเฉพาะของคุณ ดังนั้นการเลือกสีควรเลือกสีที่เข้ากันกับทั้งเนื้อหาและอารมณ์ที่ต้องการจะสื่อออกไป

3.การทำให้โปสเตอร์อ่านได้ง่ายขึ้น

จากข้อ 1 ผู้คนมักใช้เวลาในการอ่านโปสเตอร์ค่อนข้างน้อย นักออกแบบกราฟิกหลายคนจึงนิยมใส่ตัวแบบอักษรข้อความที่ใหญ่ที่คาดว่าภายใน 1 วินาทีน่าจะเพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจผู้ชมให้อ่านสิ่งที่อยู่ในโปสเตอร์ และอย่าลืมว่าคอนทราสต์มีความสำคัญต่อการอ่านที่เร็วขึ้น และการใช้แบบอักษรที่เหมาะสมจะทำให้อ่านโปสเตอร์ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้หากคุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับขนาดฟอนต์หรือรูปแบบที่จะใช้ ให้คุณจำลองหรือทดสอบขนาดฟอนต์กับผู้คนตั้งแต่วัยหนุ่มสาวที่มีสายตาปกติ ไปจนถึงผู้สูงอายุและเด็ก เพื่อให้พวกเขาได้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้นในการอ่านโปสเตอร์ของคุณ

4.การออกแบบให้ตรงกับสถานที่

โปสเตอร์มีเนื้อหาที่หลากหลายไม่ซ้ำกัน อย่างเช่น โปสเตอร์ที่หน้าร้านไม่ได้มีจุดประสงค์เดียวกับโปสเตอร์โฆษณาในสถานีรถไฟ และในทั้ง 2 กรณีนี้คุณต้องสร้างสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของผู้ชมที่ผ่านไปมา แต่คุณต้องสื่อสารกับพวกเขาให้แตกต่างออกไปตามบริบท ซึ่งคุณจะเห็นได้ชัดว่าบริบทมีผลต่อข้อความบนโปสเตอร์ แต่จะส่งผลต่อการออกแบบด้วยเหตุผลเชิงปฏิบัติมากกว่า ดังนั้นคุณควรออกแบบโปสเตอร์ให้ตรงกับสถานที่ที่จะนำโปสเตอร์ไปติดประกาศ

5.รู้จักกลุ่มเป้าหมาย

นี่คือกฎการออกแบบกราฟิกสุดคลาสสิก คุณควรรู้ว่าคุณกำลังออกแบบเพื่อใคร ซึ่งหมายถึงบุคคลที่กำลังดูโปสเตอร์และหวังว่าผู้ชมจะได้รับอิทธิพลจากโปสเตอร์ การรู้จักกลุ่มเป้าหมายจะทำให้คุณรู้จักรสนิยมและวัฒนธรรมของพวกเขา อีกทั้งยังช่วยให้คุณสามารถเลือกแบบอักษร สี ภาพ และสไตล์เค้าโครงที่เหมาะสมกับผู้ชมได้

บทสรุป

จากข้อมูลข้างต้น กฎ 5 ข้อสำหรับการออกแบบโปสเตอร์ที่มีประสิทธิภาพนั้นไม่ได้แตกต่างจากกฎการออกแบบกราฟิกทั่วไปมากนัก ดังนั้นก่อนการเริ่มต้นออกแบบโปสเตอร์คุณควรพิจารณากฎทั้ง 5 ก่อนลงมือเริ่มต้นออกแบบโปสเตอร์ของคุณ เพื่อช่วยให้วิธีการออกแบบนั้นดำเนินการไปอย่างรวดเร็ว ตรงประเด็น และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้น ซึ่งเห็นได้ชัดว่าคำแนะนำในบทความนี้มีประโยชน์แก่นักออกแบบกราฟฟิกมือใหม่อย่างแน่นอนค่ะ

Categories
กราฟิก

Sony mirrorless กับ 7 เคล็ดลับของการใช้งานที่คุณอาจจะยังไม่รู้

หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่ชื่นชอบการใช้กล้องของ Sony ต้องไม่พลาดกับกล้อง Sony mirrorless ซึ่งเป็นหนึ่งในรุ่นกล้องที่พกพาสะดวก ถ่ายภาพได้ระดับมืออาชีพ ด้วยนวัตกรรมที่ล้ำสมัยราวกับกล้องของมืออาชีพ แต่ก็มีขนาดที่เล็กกว่าและใช้งานง่าย และแน่นอนว่าก่อนใช้งานกล้องคุณต้องเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการใช้ประโยชน์จากลูกเล่น หรือเมนูของกล้อง ไม่ว่าจะเป็นวิธีการใช้งานหรือการเลเยอร์ระบบเมนูที่ซับซ้อน ซึ่งในบทความนี้จะพาคุณพบกับ 7 เคล็ดลับของการใช้งานกล้อง Sony mirrorless เพื่อการใช้งานให้ได้ประโยชน์สูงสุดที่คุณอาจจะยังไม่รู้ จะมีเคล็ดลับอะไรบ้าง มาติดตามกันเลยค่ะ

เหตุผลว่าทำไมต้องเลือกกล้อง Sony mirrorless

ช่างภาพหรือบุคคลทั่วไปที่ชื่อชอบการถ่ายรูป และเป็นเจ้าของกล้อง Sony mirrorless ต้องไม่พลาดกับ 7 เคล็ดลับของการใช้งานกล้องที่ช่างภาพมืออาชีพเลือกใช้ ซึ่งหลายคนอาจจะยังไม่รู้ แต่ก่อนจะไปดูเคล็ดลับเหล่านั้นเรามาดูข้อดีของกล้องรุ่นนี้กันก่อนเลยค่ะ

  • กล้อง Sony mirrorless เป็นกล้องขนาดเล็กแต่มีประสิทธิภาพสูงราวกับกล้องของมืออาชีพ ถ่ายภาพได้สวยในทุกสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะภายใต้สภาวะแสงที่เป็นปัญหาด้วยระบบเซนเซอร์ภาพขนาดใหญ่กว่าเดิมและเลนส์ที่สว่าง
  • มาพร้อมกับโปรเซสเซอร์ภาพอัจฉริยะ เพื่อรูปภาพที่คมชัดและมีนอยซ์ต่ำ แม้ไม่ใช้แสงแฟลช
  • มีระยะการโฟกัสที่ผ่านการคิดค้นอย่างดีช่วยให้เราสามารถสร้างโฟกัสเองได้
  • ใช้จอภาพแบบปรับเอียงเพื่อถ่ายภาพที่แตกต่าง โดยม่ต้องพึ่งช่องมองภาพ เราจึงเห็นมุมมองได้กว้างขึ้น

7 เคล็ดลับการใช้งานกล้อง Sony mirrorless ให้ได้ประโยชน์สูงสุด

สำหรับ 7 เคล็ดลับของการใช้งานกล้อง Sony mirrorless ที่ช่างภาพระดับมืออาชีพใช้กัน ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับวิธีการใช้ลูกเล่นหรือเมนูของกล้อง ซึ่งมีเคล็ดลับ ดังนี้

  • การใช้ปุ่มย้อนกลับ AF: การแยกปุ่มกดชัตเตอร์และส่วนควบคุมโฟกัสช่วยป้องกันไม่ให้เราถ่ายรูปพลาด นอกจากนี้ ยังเหมาะสำหรับการจัดองค์ประกอบภาพ เนื่องจากเราสามารถโฟกัสไปที่วัตถุที่อยู่ตรงกลางเฟรม แล้วจัดองค์ประกอบภาพใหม่ได้เลย
  • การปรับแต่งการควบคุม: ทำให้กล้องทำงานได้ดีขึ้น สำหรับกล้อง Sony มีปุ่มกำหนดเองหลายปุ่ม ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะมีปุ่มประมาณ 3-5 ปุ่มโดยจะอยู่รอบ ๆ ตัวกล้อง และสามารถตั้งค่าได้แทบทุกปุ่มที่มีในกล้อง อย่างไรก็ตาม เราขอแนะนำให้คุณเริ่มต้นด้วยการตั้งค่าปุ่มกำหนดเอง ‘C’ ก่อน
  • ปิดเสียงบี๊บทั้งหมด: ไม่มีอะไรน่ารำคาญไปกว่าการได้ยินเสียงกล้องจากการพยายามปรับโฟกัสภาพ ซึ่งเราสามารถปิดเสียงนั้นได้โดยไปที่ไอคอนกล่องเครื่องมือที่อยู่ส่วนท้ายของแท็บเมนูและเลือกเมนู ‘Audio Signals’
  • การใช้ DMF เพื่อผสมผสานโฟกัสอัตโนมัติและโฟกัสแบบ Manual: ช่างภาพที่ถ่ายภาพทิวทัศน์มักปรับโฟกัสภาพด้วยตัวเองประมาณ 80% ด้วยการเปลี่ยนโหมดโฟกัสของกล้องเป็น DMF (Direct Manual Focus) เราสามารถใช้ระบบโฟกัสอัตโนมัติของกล้องก่อนที่จะทำการปรับอย่างละเอียด โดยการหมุนวงแหวนปรับโฟกัสแบบ Manual บนเลนส์ นอกจากนี้การเปิดใช้งาน MF Assist จะช่วยให้กล้องซูมเข้าไปในฉากทันทีเมื่อเราเริ่มหมุนวงแหวนปรับโฟกัสบนเลนส์ ทำให้เราไม่ต้องกดปุ่มซูมหลาย ๆ ครั้ง
  • การใช้งานโหมดวิดีโอ: Sony เป็นหนึ่งในผู้นำด้านคุณภาพวิดีโอที่น่าทึ่งในระบบกล้องขนาดเล็กและกะทัดรัด ซึ่งตอนนี้กล้อง Sony mirrorless ส่วนใหญ่ถ่ายวิดีโอระดับความละเอียด 4K ได้ ซึ่งเราสามารถเข้าถึงการบันทึกวิดีโอได้แทบทุกโหมด โดยกดปุ่มบันทึกที่ด้านข้างของกล้อง หากไม่ต้องการถ่ายภาพด้วยคุณภาพระดับ 4K ก็สามารถเลือกถ่ายวิดีโอที่1080p ได้ ซึ่งความละเอียดเท่านี้จะช่วยให้ช่วงอัตราเฟรมกว้างขึ้น
  • การเปิดรับแสงและการลดสัญญาณรบกวน ISO สูง: การลดสัญญาณรบกวนแบบเปิดรับแสงจะสร้างภาพมืดที่สองเพื่อช่วยขจัดพิกเซลรบกวนภายในภาพ ในขณะที่การลดสัญญาณรบกวนที่ ISO สูงจะช่วยขจัดสัญญาณรบกวนออกจากภาพที่ถ่ายด้วยความไวแสงที่สูงขึ้น นอกจากนี้เรายังพบว่า Photoshop และ Lightroom ก็มีประสิทธิภาพในการกำจัดสัญญาณรบกวนจากรูปภาพด้วยเช่นกัน
  • Focus peaking: เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมสำหรับใช้งานกล้อง Sony เนื่องจากสิ่งนี้จะแสดงให้เราเห็นอย่างชันเจนถึงสิ่งที่เรากำลังโฟกัสโดยจะเน้นบริเวณที่มีสีคอนทราสต์สูง
Categories
กราฟิก

ทฤษฎีการออกแบบกราฟิก Contrast หนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญ สำหรับนักออกแบบและนักวาดภาพประกอบ

นักออกแบบกราฟิกมืออาชีพหลายคนคงจะรู้จักหรือเคยได้ยินเกี่ยวกับทฤษฎี Contrast มาแล้วบ้าง ซึ่งทฤษฎีนี้เปรียบเสมือนเครื่องมือที่สำคัญ สำหรับงานออกแบบกราฟิกที่นักออกแบบและนักวาดภาพประกอบหลายคนเลือกใช้ เพื่อทำให้งานของพวกเขาดูโดดเด่น และมีความเป็นมืออาชีพ นักออกแบบกราฟิกมือใหม่หรือคนทั่วไป อาจมองว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจความหมายของทฤษฎีนี้และวิธีนำไปใช้กับงานออกแบบสร้างสรรค์ แต่บทความนี้จะช่วยให้คุณสามารถเข้าใจเกี่ยวกับทฤษฎี Contrast มากขึ้น

ทฤษฎี Contrast คือการเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างไม่ว่าจะเป็นสี, ขนาด, รูปร่าง และความคมชัดที่อยู่บนงานกราฟิก เมื่อองค์ประกอบภาพอยู่ใน Contrast ซึ่งกันและกัน จะเห็นได้ว่าภาพเหล่านั้นมีความแตกต่างกันอย่างไม่น่าเชื่อ ดังนั้นการออกแบบของคุณจะต้องมีจุดคอนทราสต์เพื่อช่วยดึงดูดสายตาของผู้ชมให้มากที่สุด

หลักการทำงานของทฤษฎีการออกแบบกราฟิก Contrast

จริง ๆ แล้วทฤษฎี Contrast เป็นทฤษฎีญาณวิทยาที่นำเสนอโดย Jonathan Schaffer ในปัจจุบันทฤษฎี Contrast ถูกนำไปใช้เป็นหลักการออกแบบที่หลากหลาย ไม่ใช่แค่กับงานเกี่ยวกับกราฟิกเท่านั้น แต่มันยังถูกนำไปใช้เกี่ยวกับการสร้างองค์ประกอบต่าง ๆ เข้าด้วยกันของงานด้านการดีไซน์ ซึ่งมีองค์ประกอบที่แตกต่างกัน แต่เมื่อนำมารวมกันกลับทำให้ดูเหมาะสมเกิดสมดุลระหว่างสองสิ่งและทำให้งานออกแบบของคุณนั้นดูโดดเด่นน่าสนใจยิ่งขึ้น

การเปรียบความต่างของขนาด

การเปรียบความต่างของขนาด Contrast ในองค์ประกอบต่าง ๆ ในงานออกแบบ เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการทำให้การออกแบบของคุณดูโดดเด่น ความแตกต่างของขนาดช่วยในการสร้างลำดับชั้นและเพิ่มความน่าสนใจให้กับภาพ ทำให้ภาพแสดงออกถึงความลึก และความหลากหลาย อย่างเช่นการวางสององค์ประกอบที่อยู่ติดกันและคล้ายกันทุกประการ แต่ยกเว้นขนาดเป็นวิธีเปรียบความต่างของขนาด อาจเป็นรูปภาพขนาดใหญ่และขนาดเล็กหรือแบบอักษรขนาดใหญ่และขนาดเล็ก เป็นต้น การเว้นพื้นที่สีขาวไว้รอบ ๆ วัตถุขนาดเล็กเป็นอีกวิธีหนึ่งในการลดขนาดคอนทราสต์

การเปรียบความต่างของสี

การเปรียบความต่างของสี หรือการ Contrast ระหว่างเฉดสี การใช้สีเป็นอีกหนึ่งวิธีการออกแบบที่จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจในการมองเห็นภาพ และแสดงให้เห็นถึงความลึก และความหลากหลายของภาพ ซึ่งเคล็ดลับดีๆ ที่ควรพิจารณาเมื่อใช้สีเพื่อเพิ่มคอนทราสต์ให้กับงานศิลปะมีดังนี้

  • ค่าคอนทราสต์สูงสุดที่คุณสามารถทำได้คือระหว่างขาว-ดำ
  • หากไม่ต้องการให้การจับคู่สีรู้สึกอึดอัด ควรหลีกเลี่ยงการใช้สีสองสีที่สว่างเกินไปหรือคล้ายกันเกินไป
  • หากนึกถึงสีอ่อนและเฉดสีที่คุณใช้อยู่ อย่าจับคู่สองสีที่มีสีสันสดใสเข้าด้วยกัน เพราะจะทำให้ผู้ชมมองเห็นจุดเด่นได้ยาก
  • ใช้วงล้อสีเป็นแนวทางในการจับคู่สีที่เข้ากันได้ดี เนื่องจากสิ่งเหล่านี้จะสร้างคอนทราสต์ที่สมบูรณ์แบบ

การใช้รูปทรงที่ตัดกันในการออกแบบ

การใช้รูปทรงที่ตัดกันในการออกแบบจะทำให้เกิด Contrast ความจริงแล้วการใช้รูปร่างมากเกินไปอาจทำให้การออกแบบของคุณดูรกและไม่มีความเป็นมืออาชีพ การใช้คอนทราสต์ของรูปร่าง จะทำให้องค์ประกอบโดยรวมของภาพดูโดดเด่น ซึ่งมีคำแนะนำดี ๆ ที่ควรพิจารณาเมื่อทำงานเกี่ยวกับ Shapes ดังนี้

  • การใช้รูปร่าง เช่น วงกลม จะสามารถช่วยดึงความสนใจของผู้ชมมายังองค์ประกอบที่สำคัญได้
  • หากคุณมีรูปทรงเรขาคณิตหลายแบบ แนะนำรูปร่างออร์แกนิกหนึ่งรูป ซึ่งจะทำให้ภาพโดดเด่นในทันที เป็นสิ่งนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งในการออกแบบโปสเตอร์และบทความข่าว
  • สามารถใช้รูปร่าง จะช่วยจัดรูปแบบและเพิ่มความสนใจให้กับงานศิลปะของคุณ

การเปรียบความต่างของการพิมพ์

การใช้ Contrast สำหรับการพิมพ์ เป็นการจัดกลุ่มขององค์ประกอบตัวอักษร หลังจากนั้นจึงใช้วิธีการออกแบบแบบดั้งเดิมไม่ว่าจะเป็นขนาด, สี, ระยะห่าง และรูปร่าง เพื่อสร้างคอนทราสต์ ซึ่งการใช้แบบตัวอักษรที่แตกต่างกันจะช่วยเพิ่มแรงดึงดูดในการอ่านได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งเคล็ดลับอันมีค่าที่ควรพิจารณามีดังนี้

  • การเพิ่ม Contrast with type สำหรับสำเนาจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของโครงสร้างด้านบรรณาธิการ
  • ตามกฎทั่วไป คุณไม่ต้องการใช้แบบอักษรเดียวกันตลอดการออกแบบก็ได้ เพราะมันจะทำให้งานออกแบบดูไม่มีอะไรที่โดดเด่นและอาจดูธรรมดาเกินไป
  • การใช้ตัวหนาในส่วนที่เป็นแนวคิดที่ต้องการเน้นย้ำ ช่วยให้ระดับความน่าสนใจได้ง่าย
  • การใช้ฟอนต์ที่แตกต่างกัน โดยปกติแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้มากกว่า 2 หรือ 3 แบบ เนื่องจากการออกแบบของคุณจะซับซ้อนเกินไปและทำให้อ่านยาก

นอกจากนี้คุณสามารถสร้างความแตกต่างของการพิมพ์ที่มีประสิทธิภาพโดยการเล่นกับองค์ประกอบพวกขนาด, สี, ระยะห่าง และรูปร่างของตัวอักษรได้ การปรับแต่งเหล่านี้จะทำให้เกิดความเปลี่ยงแปลงข้อความเล็กน้อย และสร้างสมดุลระหว่างข้อความและการสื่อสารกับผลกระทบทางสายตา จะทำให้มองเห็นจุดเด่นได้อย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

Categories
กราฟิก

แต่งรูปให้สวยระดับมืออาชีพด้วย 5 โปรแกรมแต่งรูปฟรี ใช้งานง่าย

นักตัดต่อรูปภาพ และช่างภาพหลายคนคงคุ้นเคยกับโปรแกรมแต่งรูปอย่าง Adobe Lightroom หรือ Photoshop มากกว่าโปรแกรมแต่งรูปทั่วไป แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ชื่นชอบโปรแกรมเหล่านั้น เพราะมันมีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมใช้งานง่าย แต่บางโปรแกรมอาจจะต้องเสียเงินซื้อเพิ่มเติม ซึ่งมันเป็นสิ่งที่นักตัดต่อรูปภาพ และช่างภาพหลายคนไม่ค่อยชื่นชอบสักเท่าไร

มีผู้คนมากมายต่างต้องการใช้โปรแกรมแต่งรูป เพื่อแก้ไขภาพถ่ายให้สวยงามและโดดเด่น แต่ก็ไม่อยากถูกการเรียกเก็บเงินรายเดือนหรือต้องชำระเงินล่วงหน้า ดังนั้นหลายคนจึงต้องการค้นหาโปรแกรมแต่งรูปฟรี และต้องการโปรแกรมที่มีความสามารถเท่าเทียมกับโปรแกรมเสียเงินในการทำงาน ซึ่งโชคดีที่ปัจจุบันนี้มีโปรแกรมแก้ไขรูปภาพให้เลือกใช้งานมากมายทั้งบนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และบนอุปกรณ์มือถือ แถมบางโปรแกรมยังใช้งานง่ายเหมาะสำหรับมือใหม่ และบทความนี้จะพาคุณเข้าไปรู้จักกับ 5 โปรแกรมแต่งรูปฟรีที่มีคุณสมบัติที่น่าทึ่งและใช้งานง่าย ส่วนจะมีโปรแกรมอะไรบ้างนั้น มาติดตามกันเลยค่ะ

5 โปรแกรมแต่งรูปฟรี ด้วยฟังก์ชันการทำงานระดับมืออาชีพ ใช้งานง่าย

ปัจจุบันมีโปรแกรมแต่งรูปฟรีมากมายทั้งบนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และบนอุปกรณ์โทรศัพท์ นั่นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะค้นหาโปรแกรมแต่งรูปฟรีที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยม เพราะโปรแกรมที่มีคุณสมบัติระดับมืออาชีพมักจะต้องถูกการเรียกเก็บเงินรายเดือนหรือต้องชำระเงินล่วงหน้าเท่านั้น และโปรแกรมเวอร์ชัน “ฟรี” มักจะมีระดับการทำงานที่แตกต่างกัน ดังนั้นวันนี้เราจึงมีได้ค้นหาโปรแกรมแต่งรูปฟรีที่มีฟังก์ชันการทำงานระดับมืออาชีพ ซึ่งมีทั้งหมด 5 โปรแกรม ดังนี้

Fotor

เป็นโปรแกรมแต่งรูปฟรีที่เหมาะสำหรับการแก้ไขรูปภาพอย่างรวดเร็ว ด้วยตัวกรองระดับพรีเมียม การประมวลผลภาพเป็นชุด และตัวเลือกการส่งออกมีความละเอียดสูง พร้อมด้วยฟิลเตอร์ระดับไฮเอนด์ที่ยอดเยี่ยม ตัวอย่างเช่น การปรับแต่งสีแบบวินเทจและสีสันสดใส นอกจากนี้คุณเครื่องมือการใช้งานไม่มีความซับซ้อน รองรับการทำงานบนอุปกรณ์ Windows, macOS, Linux (ในเบราว์เซอร์) แต่มีข้อเสียคือไม่รองรับปลั๊กอิน

Photo Pos Pro

เป็นโปรแกรมที่มีอินเทอร์เฟซอัจฉริยะ โดยเครื่องมือทุกอย่างจัดเรียงอย่างสมเหตุสมผลและสม่ำเสมอ โปรแกรมที่ทั้ง ทั้งเลเยอร์และเลเยอร์มาสก์สำหรับการแก้ไขที่ซับซ้อน รวมถึงเครื่องมือสำหรับปรับส่วนโค้งและระดับการปรับแต่ง แต่น่าเสียดายที่มันส่งออกรูปได้สูงสุด 1,024×1,024 พิกเซลเท่านั้น และรองรับการทำงานแค่บนอุปกรณ์ Windows เท่านั้น

Pixlr X

คือโปรแกรมที่ใช้ HTML5 ซึ่งหมายความว่าสามารถทำงานในเบราว์เซอร์สมัยใหม่ได้ มีคุณสมบัติสามารถเปลี่ยนแปลงสีและความอิ่มตัวของสี ทำให้ภาพคมชัดและเบลอ ใช้เอฟเฟกต์ขอบมืดและเฟรม และรวมภาพหลายภาพเข้าด้วยกันได้ นอกจากนี้ยังมีการรองรับเลเยอร์อีกด้วยที่สำคัญรองรับการทำงานบนอุปกรณ์ Windows, macOS, Linux (ในเบราว์เซอร์)

PhotoScape

โปรแกรมแต่งรูปฟรีที่มีเครื่องมือและฟีเจอร์ที่ค่อนข้างล้ำหน้า มากมายไม่ว่าจะเป็นการแปลงไฟล์ดิบ การแยกและการรวมรูปภาพ ดังนั้นจึงเป็นตัวเลือกที่ดีหากคุณต้องการปรับระดับ เพิ่มความคมชัด หรือเพิ่มฟิลเตอร์อ่อนๆ ให้กับรูปภาพ นอกจากนี้ยังสามารถสร้าง GIF แบบเคลื่อนไหว และมีฟังก์ชันที่คุณสามารถพิมพ์กระดาษแบบมีเส้น กราฟ หรือแผ่นโน้ตเพลงได้ รองรับการทำงานแค่บนอุปกรณ์ Windows เท่านั้น

Adobe Photoshop Express Editor

เป็นโปรแกรมแต่งรูปจากบริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์แก้ไขรูปภาพชั้นนำของโลกอย่าง Adobe โปรแกรมนี้มีตัวกรองขั้นสูง แก้ไขรูปภาพออนไลน์ได้ฟรี ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มีเครื่องมือมากมายเท่ากับคู่แข่งบางราย แต่ทุกอย่างก็ได้รับการพัฒนาให้สมบูรณ์แบบต่อการใช้งาน แต่มีข้อเสียเพียงอย่างเดียว คือข้อจำกัดเกี่ยวกับขนาดและประเภทของไฟล์ที่อัปโหลด เนื่องจากรองรับเฉพาะรูปภาพในรูปแบบ JPG ที่ต่ำกว่า 16MB และการขาดการสนับสนุนสำหรับเลเยอร์ รองรับการทำงานบนอุปกรณ์ Windows, macOS, Linux (ในเบราว์เซอร์)

สิ่งที่ต้องพิจารณาในการเลือกโปรแกรมแก้ไขภาพฟรี

สำหรับการเลือกโปรแกรมแต่งรูปฟรี สิ่งแรกที่คุณต้องพิจารณาคือระดับความมั่นใจและประสบการณ์ของคุณ ซึ่งการใช้งานโปรแกรมแต่งรูปคุณต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือขั้นพื้นฐานของการตัดต่อภาพเสียก่อน เช่น วิธีการปรับปรุงสี เครื่องมือออนไลน์แบบง่าย ๆ อาจจะมีคุณสมบัติที่สมบูรณ์แบบ ทำให้คุณมีตัวเลือกมากมาย ที่สำคัญคุณควรพิจารณาด้วยว่าคุณจะใช้งานรูปภาพที่ส่งออกรูปแบบใด (JPG, PNG, TIF, BMP, GIF) ซึ่งโปรแกรมแต่งรูปฟรีส่วนใหญ่มักจะส่งออกได้เฉพาะภาพในรูปแบบ JPG และมีความละเอียดค่อนข้างต่ำเท่านั้น แต่หากคุณต้องการรูปภาพที่มีความละเอียดสูงเราขอแนะนำโปรแกรม Fotor ที่สามารถให้คุณส่งออกรูปภาพในรูปแบบ JPG, PNG และPDF ด้วยความละเอียดสูง

Categories
กราฟิก

เคล็ดลับง่าย ๆ การใช้ Lightroom เพื่อแก้ไขภาพถ่ายทิวทัศน์ของคุณดูดึงดูดและสมจริงมากยิ่งขึ้น

ช่างภาพ และนักออกแบบกราฟิกหลายคนคงเคยใช้งาน หรือเคยได้ยินเกี่ยวกับโปรแกรม Lightroom กันมาแล้วบ้าง ซึ่งโปรแกรมนี้เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์จาก Adobe เช่นเดียวกันกับ Photoshop เป็นอีกหนึ่งบริการบนคลาวด์ที่ช่วยให้คุณสามารถแก้ไขรูปภาพได้ทุกที่ และแชร์รูปภาพของคุณได้ในทุกอุปกรณ์ Lightroom เป็นซอฟต์แวร์จัดการรูปภาพที่มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงเวิร์กโฟลว์ของผู้ใช้เป็นหลัก และการแก้ไขภาพ การแต่งสีภาพ ด้วยการใช้วิธีการและเทคนิคต่าง ๆ เพื่อให้ได้รูปภาพที่สวยงามตามความต้องการของคุณ

สำหรับวิธีการและเทคนิคการแก้ไขภาพถ่ายทิวทัศน์ ถือเป็นกระบวนการตัดต่อภาพถ่ายที่สำคัญ เนื่องจากในบางครั้งรูปภาพจากกล้องของคุณอาจจะมีจุดบกพร่องหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นแสงที่จ้าเกินไปหรือน้อยเกินไป สภาพแวดล้อมที่ไม่เข้ากับทิวทัศน์ และอื่น ๆ อีกมากมาย ดังนั้นการแก้ไขภาพถ่ายทิวทัศน์ด้วย Lightroom เพื่อให้ได้ภาพถ่ายทิวทัศน์ที่สวยงาม ดึงดูดสายตาและมีความสมจริง ช่างภาพ หรือนักออกแบบกราฟิกจะต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวิธีการและเทคนิคการใช้เครื่องมือ Lightroom แก้ไขภาพถ่ายด้วย ซึ่งบทความนี้จะแนะนำเคล็ดลับง่าย ๆ เกี่ยวกับการแก้ไขภาพถ่ายทิวทัศน์ด้วยโปรแกรม Lightroom ส่วนจะมีเคล็ดลับอะไรบ้าง มาติดตามกันเลยค่ะ

เคล็ดลับการใช้ Lightroom แก้ไขภาพถ่ายทิวทัศน์

คุณเคยรู้สึกรำคาญเวลาเห็นรูปภาพทิวทัศน์ที่ถ่ายด้วยกล้องของคุณดูไม่โดดเด่นและไม่สมจริงหรือไม่? วันนี้ปัญหานี้จะหมดไปด้วยเคล็ดลับการแก้ไขภาพถ่ายทิวทัศน์ให้ดึงดูดสายตา และดูสมจริงมากขึ้นด้วยโปรแกรม Lightroom ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์แก้ไขภาพถ่ายที่จะช่วยยกระดับความคิดสร้างสรรค์ของคุณด้วยคุณสมบัติการแก้ไขภาพขั้นสูงทั้งเครื่องมือ ฟิลเตอร์ และการตั้งค่าที่เป็นนวัตกรรมสมัยใหม่ที่ใช้งานง่ายที่สุดในโลก นอกจากนี้โปรแกรม Lightroom ยังสามารถใช้งานได้บนทุกอุปกรณ์ไม่ว่าจะเป็น PC, Mac และบนอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือทั้งระบบ Android และiOS ที่สำหรับคุณสามารถใช้งานโปรแกรมแบบออนไลน์ได้อีกด้วย ทำให้คุณสามารถแก้ไขภาพถ่ายได้ทุกที ส่วนเคล็ดลับการแก้ไขภาพถ่ายทิวทัศน์ด้วย Lightroom ก็มีรายละเอียด ดังนี้

การแก้ไขสมดุลแสงขาว

เราสามารถปรับสมดุลแสงขาวใน Lightroom ได้ เนื่องจากรูปภาพที่ถ่ายด้วยกล้องดิจิตอลจะมีสีที่แตกต่างกับสีที่สายตาเรามองเห็น ดังนั้นรูปภาพจึงต้องการรับการปรับแต่งสมดุลแสงขาว เพื่อให้ภาพดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น โดยการปรับสมดุลแสงขาวใน Lightroom จะมีแถบเครื่องมือสองตัว นั่นคือ “Temperature” เป็นตัวกำหนดว่ารูปภาพจะดูอบอุ่นหรือเย็นเพียงใด (สีเหลืองหรือสีน้ำเงิน) และ “Tint” จะช่วยเพิ่มสีเขียวหรือสีม่วงแดง (โทนสีชมพู) เมื่อปรับทั้งสองอย่างนี้ให้เข้ากันแล้ว เราก็จะได้ภาพถ่ายทิวทัศน์ที่เป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น

การปรับความสั่นสะเทือนและความอิ่มตัวของสี

การปรับความสั่นสะเทือนและความอิ่มตัวของสีของภาพถ่ายทิวทัศน์ด้วย Lightroom จะสามารถช่วยให้รูปภาพของเราดูโดดเด่นขึ้น โดยการเพิ่มสีสันด้วยแถบเครื่องมือ Vibrance และ Saturation เราสามารถปรับระดับได้ตามความชอบขึ้นอยู่กับรสนิยมส่วนตัว แต่ระวังอย่าปรับแต่งความอิ่มตัวของสีมากเกินไป เพราะมันจะทำให้ภาพดูปลอม

การปรับแต่งความคมชัด

หากพบว่าภาพดูแบน ๆ ขาดมิติ เราสามารถปรับแต่งความคมชัดใน Lightroom ได้ง่าย ๆ ด้วยการการปรับคอนทราสต์ โดยไปที่แถบเครื่องมือ Clarity มันจะคล้ายๆ กับ Contrast แต่จะคุมโทนส่วนมืดและส่วนสว่างได้ดีกว่า เพียงแค่เราเลื่อนตัวเลื่อนไปทางขวาเพื่อเพิ่ม (หรือซ้ายเพื่อลด) ความคมชัดของภาพ แต่หากคุณต้องการการควบคุมมากขึ้นให้ไปที่ส่วน Tone Curve แล้วเลื่อนแถบเลื่อนหรือเส้นบนกราฟไปยังจุดต่าง ๆ เพื่อสร้างระดับคอนทราสต์ที่คุณต้องการ

การเพิ่ม-ลดแสงเฉพาะจุดในรูปภาพ

หากพบว่ารูปภาพมีจุดที่สว่างหรือมืดเกินไป เราสามารถเพิ่ม-ลดแสงเฉพาะจุดในรูปภาพได้ใน Lightroom ได้ โดยการไปที่แถบเครื่องมือ Adjustment Brush (กด K บนแป้นพิมพ์เพื่อเปิดใช้งาน) เราก็จะสามารถ ปรับ Dodge (ทำให้จางลง) และ Burn (มืดลง) เฉพาะจุดที่ต้องการปรับได้ โดยการการตั้งค่าแปรงให้หมายเลขแปรงขนนกสูงเพื่อให้การเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมชาติมากขึ้น และความทึบของแปรงให้อยู่ในระดับต่ำ เพื่อให้การแก้ไขค่อยเป็นค่อยไป จากนั้นปรับแปรงให้มีขนาดที่คุณต้องการ และคลิกเมาส์ลากแปลงไปยังบริเวณที่คุณต้องการเพิ่มความสว่างหรือต้องการให้มืดลงด้วยการคลิกเมาส์

Lightroom กับ Photoshop แตกต่างกันอย่างไร

ถึงแม้ว่าโปรแกรม Lightroom กับ Photoshop จะเป็นซอฟต์แวร์แก้ไขภาพเหมือนกัน แต่มันก็ยังคงมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันอยู่บ้าง ซึ่ง Lightroom จะสามารถแก้ไขภาพได้แบบไม่ทำลายภาพต้นฉบับ นั่นคือจะแยกภาพต้นฉบับออกจากการแก้ไขในโปรแกรม โดยจะบันทึกภาพที่แก้ไขแล้วในไฟล์ใหม่ และจะมุ่งเน้นไปที่การจัดระเบียบและประมวลผลภาพถ่าย ในขณะที่ Photoshop จะมุ่งเน้นไปที่การปรับแต่ง การสร้าง และการปรับปรุงภาพ มีเครื่องมือการแก้ไขที่กว้างขวางยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ทำให้ภาพบางภาพดูไร้ที่ติ