Categories
เทคนิค

แนะนำ 5 วิธีลบพื้นหลังรูปด้วยโปรแกรม PHOTOSHOP ง่าย ๆ ใคร ๆ ก็ทำได้

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเราได้เห็นถึงความก้าวหน้ามากมายของโปรแกรม PHOTOSHOP ซึ่งเมื่อก่อน วิธีลบพื้นหลังรูป ไม่เคยทำได้ง่ายดายหรือรวดเร็วได้เท่าตอนนี้ เนื่องจากสมัยก่อนยังไม่มีโปรแกรมแต่งรูปที่มีประสิทธิภาพเหมือนในปัจจุบัน โปรแกรม PHOTOSHOP เป็นหนึ่งในโปรแกรมแต่งรูปที่ดีที่สุดในยุคนี้ ด้วยเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพที่หลากหลาย จึงไม่แปลกที่มันถือเป็นโปรแกรมแต่งรูปอันดับต้น ๆ ที่ช่างภาพหลายคนเลือกใช้สำหรับแก้ไขภาพถ่าย 

การรู้ วิธีลบพื้นหลังรูป ถือเป็นขั้นตอนการแก้ไขภาพถ่ายที่ช่างภาพทุกคนควรรู้ และต่อไปนี้คือ 5 วิธีลบพื้นหลังออกจากภาพถ่ายของคุณโดยใช้โปรแกรม PHOTOSHOP พร้อมกับเทคนิคลบพื้นหลังรูปภาพเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แต่จะเป็นอย่างไรบ้างนั้น สามารถติดตามได้ในบทความนี้เลยค่ะ 

5 วิธีลบพื้นหลังรูปด้วยโปรแกรม PHOTOSHOP 

วิธีลบพื้นหลังรูป

คุณกำลังมองหา วิธีลบพื้นหลังรูป ที่รวดเร็วและง่ายดายใช่หรือไม่? คุณสามารถลบพื้นหลังรูปเองได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายโดย วิธีลบพื้นหลังออกจากภาพ หรือเปลี่ยนพื้นหลังของภาพได้งด้วย 5  วิธีลบพื้นหลังรูปภาพ ด้วยโปรแกรม PHOTOSHOP เพื่อช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ของรูปภาพที่ดีที่สุดและรวดเร็วยิ่งขึ้น 

วิธีลบพื้นหลังรูป

โปรแกรม PHOTOSHOP เป็นโปรแกรมที่มีความสามารถในการจัดการแก้ไขและตกแต่งรูปภาพด้วยเครื่องมือที่หลากหลาย รวมถึงเครื่องมือสำหรับ การลบพื้นหลังรูป อย่างไรก็ตามขั้นตอนการลบพื้นหลังของรูปจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์แบบก็ขึ้นอยู่กับขั้นสุดท้ายของคุณ หากคุณต้อง การลบพื้นหลังรูป PHOTOSHOP อย่าลืมว่าต้องบันทึกเป็นไฟล์ PNG แบบโปร่งใสเท่านั้น เพื่อให้คุณสามารถนำภาพไปใช้ได้แบบไม่มีพื้นหลัง และนี่คือ 5 วิธีลบพื้นหลังรูปภาพด้วยโปรแกรม PHOTOSHOP 

เครื่องมือ REMOVE BACKGROUND TOOL

วิธีลบพื้นหลังรูป

เริ่มกันที่ วิธีลบพื้นหลังรูป ที่ง่ายดายและรวดเร็วที่สุดใน วิธีลบพื้นหลังรูป PHOTOSHOP เพราะเป็นวิธีที่ไม่จุกจิกเกินไปเกี่ยวกับการทำให้ขอบบนวัตถุหรือตัวแบบชัดขึ้น ก่อนอื่นต้องเปิดภาพของคุณใน PHOTOSHOP แล้วไปที่แผงเลเยอร์ด้านขวา จากนั้นเพิ่มเลเยอร์ปัจจุบันโดยการกด COMMAND+J บน MACOS หรือ CTRL+J บน WINDOWS 

จากนั้นมาที่ขั้นตอนสุดท้ายสำหรับ วิธีลบพื้นหลังรูป อย่างง่ายก็คือให้ไปที่แผงเครื่องมือ QUICK ACTIONS แล้วคลิกปุ่ม REMOVE BACKGROUN เพียงเท่านี้คุณก็จะได้รูปภาพที่ไม่มีพื้นหลังแล้วค่ะ แต่หลังจากขั้นตอนนี้แล้วอย่าลืมบันทึกภาพเป็นไฟล์ PNG แบบโปร่งใสด้วยนะคะ

การใช้ปลั๊กอิน REMOVE.BG

วิธีลบพื้นหลังรูป

อีกหนึ่ง วิธีลบพื้นหลังรูป ที่ดีที่สุดใน PHOTOSHOP ก็คือ วิธีลบพื้นหลังขาว โดยการใช้ปลั๊กอินของ REMOVE.BG เพื่อแยกพื้นหลังออกจากวัตถุหรือตัวแบบ ซึ่งปลั๊กอินนี้ใช้ได้ดีกับภาพที่มีขอบที่ซับซ้อนอย่างเช่น ผม และยังสามารถใช้เลเยอร์มาสก์เพื่อลบหรือกู้คืนส่วนต่าง ๆ ของรูปภาพได้ เริ่มต้นโดยการทำตามขั้นตอน ดังนี้

  1. ดาวน์โหลดปลั๊กอินของ REMOVE.BG สำหรับ ลบพื้นหลังรูปฟรี ของ PHOTOSHOP 
  2. คุณสามารถค้นหาปลั๊กอินได้ที่แผงด้านบน PLUGINS > REMOVE.BG FOR ADOBE PHOTOSHOP
  3. ลงชื่อเข้าใช้บัญชี REMOVE.BG แล้วคลิกปุ่ม REMOVE BACKGROUND ทุกครั้งที่คุณต้องการลบพื้นหลังออกจากรูปภาพที่เปิดอยู่ใน PHOTOSHOP
  4. การประมวลผลของรูปภาพผ่าน REMOVE.BG API ดังนั้นคุณต้องมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่ใช้งานได้ และคีย์ API (พบได้ในแดชบอร์ดของบัญชีของคุณ)

เครื่องมือ QUICK SELECTION TOOL 

วิธีลบพื้นหลังรูป

มาต่อกันที่ วิธีลบพื้นหลังรูป ด้วยเครื่องมือ QUICK SELECTION TOOL ของ PHOTOSHOP เป็นเครื่องมือที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการประมวลผลแบบเรียลไทม์เพื่อค้นหาขอบของวัตถุและจุดเริ่มต้นของพื้นหลัง เครื่องมือนี้ทำงานได้ดีโดยการ ลบพื้นหลังชัด ๆ ทำให้ภาพดูคมชัดไม่ผิดเพี้ยนจากเดิม แต่หากพิกเซลมีความคล้ายคลึงกันมากเกินไป อาจต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการเพิ่มและลบองค์ประกอบ เริ่มต้นโดยการทำตามขั้นตอน ดังนี้

  1. เปิดภาพของคุณใน PHOTOSHOP แล้วค้นหา QUICK SELECTION TOOL ในเมนูด้านซ้าย (PHOTOSHOP TOOLBOX)
  2. ตรวจสอบ ENHANCE EDGE ในแถบตัวเลือก
  3. คลิกปุ่มและเลื่อนตัวชี้ไปไว้เหนือพื้นที่ที่คุณต้องการเลือก เพื่อค้นหาโทนสีที่ตรงกับการเลือก
  4. หากต้องการเพิ่มในส่วนที่เลือกให้คลิกและลากไปที่พื้นที่ที่ต้องการเพิ่ม
  5. หากต้องการลบส่วนที่เลือกให้กดแป้นพิมพ์ OPTION (MACOS) หรือALT (WINDOWS) แล้วเลื่อนไปที่ส่วนที่คุณต้องการยกเลิกการเลือก 
  6. คุณสามารถเปลี่ยนเครื่องมือเพื่อยกเลิกการเลือก (MINUS) ในแถบเมนูเพื่อยกเลิกการเลือกสิ่งที่คุณวางเมาส์ไว้

เครื่องมือ BACKGROUND ERASER TOOL

วิธีลบพื้นหลังรูป

อีกหนึ่งเครื่องมือสำหรับ วิธีลบพื้นหลังรูป BACKGROUND ERASER TOOL เป็น เครื่องมือลบพื้นหลังรูปภาใน PHOTOSHOP ที่สามารถมีประสิทธิภาพสูงและช่วยประหยัดเวลาช่วยให้คุณได้รูปภาพที่ไม่มีพื้นหลังเร็วขึ้น เริ่มต้นโดยการทำตามขั้นตอน ดังนี้

  1. เปิดภาพของคุณใน PHOTOSHOP แล้วไปที่แผงเครื่องมือ PHOTOSHOP เลือก BACKGROUND ERASER TOOL 
  2. เลือกขนาดยางลบที่เหมาะสมโดยการคลิกที่แป้นพิมพ์ [ และ ] หรือปรับเปลี่ยนในแถบเมนูด้านบนของหน้าจอ แนะนำให้เริ่มต้นที่ 50PX 
  3. ตั้งค่าขีดจำกัดบนเมนูเพื่อค้นหา FIND EDGES แนะนำค่าในช่วง 20–25%
  4. เริ่มลบพื้นหลังรอบ ๆ ตัววัตถุ โดยใช้เครื่องมือยางลบคลิกค้างไว้ในขณะขยับแปรง ให้ทำกระบวนการนี้จนกว่าพื้นหลังจะหมดไป

เครื่องมือ MAGNETIC LASSO TOOL

วิธีลบพื้นหลังรูป

วิธีสุดท้าย วิธีลบพื้นหลังรูป ด้วยเครื่องมือ MAGNETIC LASSO TOO เป็นเครื่องมือใน PHOTOSHOP ที่นิยมนำมาใช้ใน วิธีลบพื้นหลัง โดยการเลือกพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วเพราะเมื่อคุณเลื่อนเมาส์ไปตรงพื้นที่ที่ต้องการเลือก MAGNETIC จะกำหนดขอบเขตตามทิศทางการเคลื่อนที่ของเมาส์ทันที เริ่มต้นโดยการทำตามขั้นตอน ดังนี้

  1. เปิดภาพของคุณใน PHOTOSHOP แล้วเพิ่มเลเยอร์ปัจจุบันโดยการกด COMMAND+J บน MACOS หรือ CTRL+J บน WINDOWS จากนั้นคลิกไอคอนรูปตาที่เลเยอร์เริ่มต้น เพื่อปิดเลเยอร์
  2. เลือกเครื่องมือ MAGIC LASSO จากแผงเครื่องมือทางด้านซ้าย และเลื่อนเมาส์วาดภาพตามขอบของวัตถุ แล้ววาดจุดสิ้นสุดให้เชื่อมต่อกับจุดเริ่มต้น
  3. บันทึกการเลือกของคุณโดยไปที่ SELECTION > SAVE SELECTION แล้วทำการตั้งชื่อ 
  4. จากนั้นให้ทำการลบพื้นหลังโดยไปที่ SELECT > INVERSE คลิกเลือก DELETE คุณจะเห็นพื้นหลังเป็นสีขาว/เทา แทนที่พื้นหลังภาพก่อนหน้านี้ เพียงเท่านี้คุณก็จะได้รูปภาพแบบไม่มีพื้นหลังแล้วค่ะ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ? สำหรับ 5 วิธีลบพื้นหลังรูป ด้วยโปรแกรม PHOTOSHOP ซึ่งขอบอกเลยว่าวิธีการลบพื้นหลังออกจากรูปภาพเหล่านี้ใน PHOTOSHOP เป็นวิธีที่รวดเร็วและง่ายดายในการดึงวัตถุที่ไม่ต้องการออกจากภาพถ่าย และการเปลี่ยนพื้นหลังของภาพที่รายละเอียดมาก โดยวิธีข้างต้นจะช่วยทำให้คุณได้รูปภาพที่ไม่มีพื้นหลังได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว

สนับสนุนโดย

PAPERINDUSTRYMAG.COM

 

ภาพจาก:

https://bit.ly/3pMJeHS

เว็บบาคาร่าอันดับ1

Categories
กราฟิก

ทำความรู้จักกับ AFTER EFFECTS โปรแกรมสร้าง MOTION GRAPHIC ขั้นเทพ


สำหรับใครที่ทำงานเกี่ยวกับการผลิตกราฟิกเคลื่อนไหว (MOTION GRAPHIC) คงจะคุ้นเคยหรือเคยได้ยินชื่อโปรแกรมสร้าง MOTION GRAPHIC ยอดฮิตอย่าง AFTER EFFECTS ที่เป็นหนึ่งในเครื่องมือสร้างสรรค์วิดีโอกราฟิกเคลื่อนไหวที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ คุณอาจจะเคยเห็นผลงานที่สร้างขึ้นโดยโปรแกรม AFTER EFFECTS มาแล้วบ้างอย่างเช่น EFFECT ต่าง ๆ ในอนิเมชั่นและภาพยนตร์แอคชั่น เป็นต้น

 ซึ่งในบทความนี้เราจะพูดถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากมายเกี่ยวกับโปรแกรม AE โดยเราจะให้คำอธิบายที่ชัดเจนว่าทำให้โปรแกรมนี้ถึงได้รับความนิยมอย่างมากในยุคสมัยนี้ แต่จะมีรายละเอียดอย่างไรบ้างนั้น สามารถติดตามได้ในบทความนี้เลยค่ะ

โปรแกรม AFTER EFFECTS คืออะไร

AFTER EFFECTS

คุณกำลังสงสัยใช่ไหมคะว่า AFTER EFFECTS คืออะไร? โปรแกรม AFTER EFFECTS คือ โปรแกรมประยุกต์สำหรับสร้างผลงานกราฟิกดีไซน์แบบเคลื่อนไหว (MOTION GRAPHIC) และเอฟเฟกต์พิเศษที่ใช้ในวิดีโอ ภาพยนตร์ และภาพเคลื่อนไหวต่าง ๆ บนโลกออนไลน์ โดยโปรแกรมนี้จะถูกใช้งานในขั้นตอนหลังการถ่ายทำ และมีเอฟเฟกต์ให้เลือกอีกหลายร้อยรูปแบบที่สามารถใช้สร้างภาพกราฟิกเคลื่อนไหวได้อย่างง่ายดาย ซึ่งการใส่เอฟเฟกต์ให้กับภาพนิ่งนั้นจะทำให้คุณสามารถรวมเลเยอร์ของวิดีโอและรูปภาพไว้ในฉากเดียวกันได้ โปรแกรม AFTER EFFECTS สามารถใช้ได้ทั้งบนคอมพิวเตอร์ MAC OS และ WINDOWS 

ความเป็นมาของโปรแกรม ADOBE AFTER EFFECTS

AFTER EFFECTS

โปรแกรม AFTER EFFECTS ได้รับการพัฒนาในปี 1993 และหลังจากนั้น AFTER EFFECT เริ่มต้นได้รับความนิยมอย่างมาก โดยนักพัฒนารายแรก COMPANY OF SCIENCE AND ART (COSA) ได้สร้าง 2 เวอร์ชันด้วยฟังก์ชันบางประการที่อนุญาตให้ผู้ใช้สามารถสร้างเลเยอร์และแปลงคุณสมบัติต่าง ๆ ของเลเยอร์ได้

AFTER EFFECTS

ในปี 1994 ALDUS ก็ได้เข้ามาซื้อกิจการและหลังจากการเปิดตัวได้เพียงหนึ่งปีโปรแกรมก็ได้รับการพัฒนาคุณสมบัติใหม่ที่น่าทึ่ง เช่น การเรนเดอร์แบบหลายเครื่องและภาพเบลอจากการเคลื่อนไหว แต่ก่อนสิ้นปี 1994 ADOBE ก็ได้เข้ามาซื้อเทคโนโลยี AE และในปัจจุบันก็ยังเป็นเจ้าของอยู่

หลังจากนั้นแนวคิดเกี่ยวกับโปรแกรม AE ก็ทำให้ ADOBE ได้เปิดตัวซอฟต์แวร์ชั้นนำในอุตสาหกรรมต่าง ๆ กว่า 50 เวอร์ชัน โดยแต่ละเวอร์ชันจะมีฟังก์ชันใหม่ ๆ และบางเวอร์ชันจะมีขนาดใหญ่กว่ารุ่นอื่นอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า ADOBE ได้สร้างซอฟต์แวร์ที่ดีที่สุด นอกจากนี้ในปี 2019 AFTER EFFECTS ได้รับรางวัล ACADEMY AWARD สำหรับความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์และทางเทคนิค ซึ่งข้อนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าโปรแกรม ADOBE AFTER EFFECTS มีประโยชน์และมีประสิทธิภาพมากเพียงใด

โปรแกรม AFTER EFFECTS ทําอะไรได้บ้าง?

โปรแกรม AFTER EFFECTS เป็นหนึ่งในโปรแกรมยอดฮิตจาก ADOBE บริษัทที่ให้บริการและจำหน่าย SOFTWARE สำหรับคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของโลกที่เน้นการใช้งานเพื่อการออกแบบสร้างสรรค์เป็นหลัก โดย ADOBE AFTER EFFECTS มีความสามารถที่หลากหลาย แต่หลายคนคงกำลังสงสัยใช่ไหมคะว่า AFTER EFFECTS ทําอะไรได้บ้าง? ซึ่งโดยทั่วไปการใช้งาน AFTER EFFECTS จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ อนิเมชั่น (ANIMATION), เอฟเฟกต์ภาพ (EFFECT) และคอมโพสิต (COMPOSITING)

อนิเมชั่น (ANIMATION)

AFTER EFFECTS

จากข้อมูลข้างต้นทำให้ทราบว่าโปรแกรมสามารถสร้างผลงานประเภทอนิเมชั่นได้ โดยส่วนใหญ่การทําอนิเมชั่น AFTER EFFECT มักจะถูกเรียกว่า MOTION GRAPHICS ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างงานกราฟฟิกเคลื่อนไหว เช่น โลโก้ ข้อความ และรูปแบบกราฟิกอื่น ๆ หรืออธิบายให้เข้าใจก็คือการทำให้ภาพวาด 2 มิติเคลื่อนไหวได้ เหมือนกับการ์ตูนอนิเมชั่นที่หลาย ๆ คนชื่นชอบนั้นเอง ในปัจจุบันการทำอนิเมชั่น AE มักถูกนำไปใช้ผลิตเป็นสื่อในโลกออนไลน์มากยิ่งขึ้น เนื่องจากการประชาสัมพันธ์ด้วยการใช้ MOTION GRAPHIC จะสามารถช่วยอธิบายทำให้ผู้ชมเข้าใจเนื้อหาที่ผู้ผลิตต้องการสื่อสารได้ง่าย 

เอฟเฟกต์ภาพ (EFFECT) 

AFTER EFFECTS

โดยทั่วไปการผลิตภาพยนตร์หรือวิดีโอส่วนใหญ่มักจะใช้สำหรับสร้างเอฟเฟกต์ในภาพยนตร์และวิดีโอ หรือที่หลายคนเรียกว่า วิชวลเอฟเฟกต์ (VFX) ซึ่งเป็นการสร้างภาพสามมิติด้วยคอมพิวเตอร์ (CG หรือ 3D ANIMATION) พร้อมกับการถ่ายทำภาพยนตร์ในระบบดิจิทัลเพื่อช่วยทำให้ภาพดูมีความสมจริงมากยิ่งขึ้น การเพิ่มหิมะลงในฉากภาพยนตร์ หรือการทำให้เกิดไฟหรือน้ำในฉากวิดีโอ และการทำให้วัตถุดูเหมือนกลายเป็นของเหลว สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากการสร้างเอฟเฟกต์ด้วยโปรแกรม AFTER EFFECTS

ภาพคอมโพสิต (COMPOSITING)

AFTER EFFECTS

นำมาใช้สำหรับการจัดองค์ประกอบภาพดิจิทัล หรือที่หลายคนเรียกว่าคอมโพสิต (COMPOSITING) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเรียบเรียงวิดีโอหรือภาพหลาย ๆ ไฟล์ให้กลายเป็นไฟล์เดียวกัน ตัวอย่างเช่น รายการพยากรณ์อากาศที่พิธีกรกำลังรายงานสภาพอากาศในตำแหน่งด้านหน้าของพื้นหลังสีฟ้าหรือสีเขียวธรรมดา ในขณะที่ภาพคอมโพสิตจะแสดงแทนที่ฟ้าหรือสีเขียวที่กำหนดด้วยแผนที่สภาพอากาศ

ดาวน์โหลด AFTER EFFECTS

โปรแกรม AFTER EFFECTS เป็นโปรแกรมที่นำเสนอโดย ADOBE ภายใต้บริการสมัครสมาชิกของ CREATIVE CLOUD โดยมีราคาสำหรับการสมัครสมาชิกที่อาจจะแตกต่างกันไปเนื่องจากต้องมีการพิจารณาตามแบบแผนต่าง ๆ และนี่คือรายการแผนการสร้างสรรค์ของระบบคลาวด์ที่แตกต่างกัน

  • รายบุคคล
  • ธุรกิจ
  • นักเรียนและครู
  • โรงเรียนและมหาวิทยาลัย
AFTER EFFECTS

เมื่อคุณได้ตัดสินใจเลือกแผนการสร้างสรรค์ของระบบคลาวด์เรียบร้อยแล้ว คุณสามารถไปที่ ADOBE และลงชื่อสมัครเข้าใช้งานในรูปแบบการกำหนดราคาที่เหมาะกับความต้องการของคุณ สำหรับใครที่อยากใช้ AFTER EFFECTS ฟรี คุณสามารถดาวน์โหลด AFTER EFFECTS ได้ฟรีสำหรับช่วงทดลองใช้แบบจำกัดเวลา โดยคุณสามารถใช้โปรแกรมได้ฟรีสำหรับการสร้างกราฟิกเคลื่อนไหวและเอฟเฟกต์ภาพที่น่าทึ่งสำหรับภาพยนตร์ โทรทัศน์ วิดีโอ และเว็บไซต์ในระยะเวลา 7 วันเท่านั้น

ความแตกต่างระหว่าง AFTER EFFECTS และ PREMIERE

อย่างที่เราทราบกันดี AFTER EFFECTS และ PREMIERE PRO เป็นซอฟต์แวร์ตัดต่อวิดีโอที่ดีที่สุดของ ADOBE แต่หลายคนคงกำลังสงสัยใช่ไหมคะว่า ADOBE AFTER EFFECTS กับ PREMIERE แตกต่างกันอย่างไร? แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้ทั้ง 2 ซอฟต์แวร์แตกต่างกันก็คือคุณสมบัติเฉพาะตัวของซอฟต์แวร์

AFTER EFFECTS

โดยโปรแกรม AE เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดสำหรับการสร้าง MOTION GRAPHIC ซึ่งรวมถึงกราฟิกเคลื่อนไหว เอฟเฟกต์พิเศษ (VFX) เอฟเฟกต์ข้อความ ฯลฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณไม่สามารถทำได้บน PREMIERE และการทำอนิเมชั่นข้อความนั้นค่อนข้างธรรมดาใน PREMIERE PRO แต่หากทำใน AFTER EFFECTS มันจะทำให้ผลงานคุณน่าทึ่งมากกว่า 

ส่วนในเรื่องของคุณสมบัติไทม์ไลน์และช่องสัญญาณเสียงอย่างง่ายของ PREMIERE PRO จะดีกว่า เพราะทำให้การตัดต่อวิดีโอทำได้ง่ายด้วยฟังก์ชันต่าง ๆ เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น อย่างไรก็ตามการใช้ควบคู่กับ PREMIERE PRO จะทำให้ขั้นตอนการผลิตวิดีโอเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น 

 

ภาพจาก:

https://bit.ly/3sVZeJH
https://bit.ly/3eKbK6w
https://bit.ly/3JBUzT2
https://bit.ly/3FMMA39
https://bit.ly/32Gpo8o
https://bit.ly/3JvDYjP
https://bit.ly/3zm9yvI

ufabetเว็บตรง ไม่ผ่านเอเย่นต์

Categories
เสียง

แนะนำโปรแกรม ตัดต่อเสียง สำหรับมือใหม่นายเองก็หัดเองได้

ตัดต่อเสียง

สำหรับมือใหม่หลายๆคน ที่กำลังจะเริ่มเรียนรู้การตัดต่อวิดีโอ หรือพรีเซ้นเทชั่นอื่นๆที่เป็นทั้งในรูปแบบของแอนิเมชั่นที่ต้องมีเสียง องค์ประกอบหลักหนึ่งที่มันขาดไปไม่ได้ก็คือเรื่องเสียง ซึ่งนอกจากโปรแกรมตัดต่อวิดีโอมันจะค่อนข้างสำคัญสำหรับงานพวกนี้แล้ว เรื่องของการ ตัดต่อเสียง หรือโปรแกรมที่ใช้ตัดต่อเรื่องเสียงเองก็สำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งเรื่องของเสียง ซาวด์หรือเอฟเฟคมันเป็นสิ่งที่ต้องมีบทบาทที่เคล้าอารมณ์ทั้งคนดูหรือคนฟังวิดีโอหรือเสียงนั้นให้คล้อยตามในสิ่งที่เราอยากจะสื่อออกมา ซึ่งในวันนี้เราจะมาแนะนำโปรแกรม ตัดต่อเสียง ที่เหมาะสำหรับมือใหม่ที่จะเริ่มศึกษาหรือหัดตัดต่อเรื่องเสียงกัน

5 โปรแกรม ตัดต่อเสียง ใช้งานง่าย สะดวกสบายเหมือนมืออาชีพ

ตัดต่อเสียง
  1. และสำหรับโปรแกรม ตัดต่อเสียง อันแรกที่จะมาแนะนำนั่นคือ ASHAMPOO MUSIC STUDIO อันนี้เป็นโปรแกรมมัลติมีเดียที่รวมรวบความสามารถด้านต่างๆเกี่ยวกับ การตัดต่อเสียง หรือด้านต่างๆของการทำเพลงไว้ในโปแกรมเดียว เพราะความสามารถหลักของโปรแกรมนี้ก็จะมีอยู่ 3 อย่างหลักๆนั่นคือ โปรแกรมตัดต่อเสียง , โปรแกรมบันทึกเสียง และมี โปรแกรมแต่งเพลง นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่นการไรท์แผ่น และแปลงไฟล์เสียงได้อีกด้วย มองว่าเป็นโปรแกรมที่ค่อนข้างครบครันมากจริงๆ ซึ่งสำหรับผู้ใช้งานเองก็ถือว่าเป็นโปรแกรมที่คอนข้างตอบโจทย์เป็นอย่างดี เหมาะทั้งคนที่เพิ่งริเริ่มใช้งานไปจนถึงระดับมืออาชีพ

นอกจากนี้จุดเด่นของโปรแกรม ตัดต่อเสียง ASHAMPOO MUSIC STUDIO นี้ก็คือการใช้งานที่ค่อนข้างยืดหยุ่นได้เยอะ และยังรองรับไฟล์เสียงหลายรูปแบบหลายสกุล เช่น ไฟล์ FLAC ,ไฟล์ MP3 , ไฟล์ OGG , ไฟล์ WAV หรือไฟล์ WMA ก็รองรับได้ ซึ่งมันดีมากเพราะว่าทำให้เราสามารถใช้งานได้หลายอุปกรณ์ แถมยังมีฟีเจอร์อีกหลายอย่างทั้ง มิกซ์เพลง (MIX SONGS) ด้วยเครื่องมือ TEMPO ANALYSIS และ SMART SYNCHRONIZATION ,จัดระเบียบเพลง หรือจะสั่งพิมพ์ปกบนแผ่นซีดียังทำได้เลย

ตัดต่อเสียง
  1. ขอต่อด้วยโปแกรมที่สอง ADOBE AUDITION โปรแกรมตัดต่อเสียงที่อยู่ในตระกูล ADOBE ซึ่งโปรแกรมนี้เป็นโปรแกรมที่นำมาใช้งานในด้านของเสียงโดยเฉพาะเลย พวกการอัดเสียง การตัดต่อเสียง การแก้ไชเสียง เพิ่มเสียงหนัก เสียงเบา หรือเอฟฟคต่างๆ นอกจากนี้แล้วความพิเศษของโปรแกรมตัวนี้ที่สามารถทำได้มากกว่า แอพตัดต่อเสียง ทั่วไปก็คือคุณสามารภนำไฟล์รูปหรือวิดีโอมาประกอบการมิกซ์เสียงได้ด้วย

ยังไม่เพียงเท่านี้ ADOBE AUDITION ยังมีหน้าตาของโปรแกรมที่ดึงดูดน่าใช้งาน หรือหากคุณอยากจะทราบว่าเสียงหรือเพลงที่คุณทำเป็นยังไงคุณก็สามารถเอามาเล่นก่อนในโปรแกรม และแก้หรือมิกซ์ได้อย่างเรียลไทม์ นอกจากแก้ได้อย่างเรียลไทม์คุณยังสามารถที่จะเปิดไฟล์เสียงขึ้นมาทำงานได้มากกว่า ย้ำว่ามากกว่า สองไฟล์พร้อมกันก็สามารถทำได้ ถือได้ว่าเป็นโปรแกรมที่สะดวกและเป็นโปรแกรม ตัดต่อเสียง ที่ทำได้ค่อนข้างละเอียดเลย นอกจากนี้เราจะขอแนะนำให้ ดาวน์โหลดโปรแกรมตัดต่อเสียง อันนี้เป็นของแท้เพราะว่าเวลาเขามีอัพเดท คุณก็จะสามารถใช้ฟีเจอร์ใหม่ๆได้ก่อนใครเลย 

ตัดต่อเสียง
  1. อันที่สามโปรแกรม OCENAUDIO ซึ่งไม่ใช่เป็นแค่โปรแกรมตัดต่อเสียงขนาดเล็ก แต่เป็น โปรแกรมตัดต่อเสียงที่ดีที่สุด อีกโปรแกรมนึงเลยก็ว่าได้เพราะเขาจะนำเอาความง่ายและความสะดวกสบายมาใช้ในการ ตัดคลิปเสียง หรือตัดต่อเพลงโดยการใส่ ซาวด์เอฟเฟค หรือลูกเล่นต่างๆ ลงไปในเพลงให้มีความน่าสนใจมากขึ้น ซึ่งสามารถใช้โปรแกรม ตัดต่อเสียง WINDOWS 10 หรือจะเป็นระบบปฏิบัติการแบบ MAC OS เองก็ใช้ได้ และมันเหมาะอย่างมากสำหรับมือใหม่ที่ชอบเรื่องการตัดต่อ หรือจะเป็นบุคคลทั่วไปก็ได้ที่ใช้งานเป็นครั้งคราว

อย่างที่บอกว่าเจ้าโปรแกรม ตัดต่อเสียง OCENAUDIO เป็นโปรแกรมขนาดเล็กแต่ประสิทธิภาพนี่ดีเยี่ยมไม่เล็กเลย เพราะการรองรับการปรับแต่งเสียงหรือการทำเพลงต่างๆนั้นค่อนข้างครบทุกความต้องการ ทั้งเรื่องของการปรับเสียงสูง เสียงต่ำ ภายในเนื้อเพลง หรือภายในช่วงที่คุณต้องได้แบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ก็ยังสามารถเปิดไฟล์เพลงพร้อมกันได้มากถึง 2 ไฟล์ สามารถฟังแล้วปรับเปลี่ยนเปรียบเทียบได้อย่างสบายๆเลย นอกจากนี้ยังมีช่องการปรับแต่งเสียงแบบอีควอไลเซอร์ให้เลือกมากถึง 31 ช่อง แถมยังสามารถ ตัดต่อเสียงในคอม แล้วส่งออกหรือ EXPORT ไฟล์เสียงทำเป็นเสียงเรียกเข้าสำหรับไอโฟนได้ด้วย 

ตัดต่อเสียง
  1. โปรแกรมที่สี่โปแกรม ตัดต่อเสียงฟรี บนโลกออนไลน์นั่นก็คือ SOUNDATION ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ใช้บนเว็บไซต์หรือบราวเซอร์ทำให้ทำงานหรือใช้งานได้อย่างง่ายได้และใช้ร่วมกับคนอื่นได้ สำหรับ SOUNDATION ใช้เป็นการสร้างผลงานแบบมืออาชีพ อาทิ การสร้างหรือบันทึกเพลงของตัวเองไว้ เพราะใช้งานได้ง่าย โดยมีเครื่องมืออย่างกับเป็น DAW ไม่ว่าจะเป็น อัดเพลง REMIX ใส่ เอฟฟคเสียง การจำลองเพลงบรรเลง การทำงานก็ทำแบบมัลติแทรค เครื่องมือสร้างแบบ MIDI ทำให้คุณสร้างสรรค์ผลลงานเพลงออกมาได้อย่างเต็มที่และสมบูรณ์แบบ

สำหรับโปรแกรม SOUNDATION เป็นโปแกรมที่มือเครื่องมือขั้นสูงค่อนข้างเยอะอาจจะต้องเป็นคนที่มีประสบการณ์ในการ ตัดต่อเสียง หรือเพลงมาบ้างแล้ว สำหรับคนที่กำลังหัดหรือเริ่มลองทำอาจจะยังไม่แนะนำ นอกจากนี้เขายังมีทั้งเวอร์ชั่นฟรีและเวอร์ชั่นเสียเงิน ซึ่งก็จะได้ความแตกต่างหรือข้อจำกัดของคุณภาพไฟล์เสียง และฟีเจอร์ต่างๆอาจจะไม่ครบครัน

ตัดต่อเสียง
  1. โปรแกรมที่ห้าโปรแกรมสุดท้ายที่เราจะแนะนำทุกคนในวันนี้ นั่นคือโปรแกรม AUDACITY โปรแกรม ตัดต่อเสียง ที่เป็นเหมือนสุดยอดของความครบครันและครอบคลุมเรื่องของเสียง ซึ่งระบบของตัวนี้จะมีตั้งแต่ระบบบันทึกเสียงผ่านไมโครโฟน แล้วสามารถที่จะเอาไฟล์เสียงที่อัดนั้นมาตัดต่อได้ทันที นอกจากนี้ยังรองรับไฟล์เสียงหลายสกุล รวมถึงการบันทึกงานหรือบันทึกข้อมูลก็สามารถบันทึกได้หลายแบบ มี เอฟเฟคเสียง หรือซาวด์ประกอบที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ การจัดการแทร็ค และลูกเล่นที่น่าสนใจคือการใส่ปกอัลบั้มให้กับไฟล์ได้

สำหรับโปรแกรม ตัดต่อเสียง นี้เป็นโปรแกรมที่ไม่ได้เหมาะแค่คนที่เป็นมืออาชีพเท่านั้นแต่ยังเหมาะกับคนที่เป็นมือใหม่อีกด้วย เพราะด้วยความที่เป็นโปรแกรมที่ใช้งานง่าย มีเครื่องมือที่ครบครัน และรองรับสกุลไฟล์หลายอย่างอีกด้วย

เลือกโปรแกรมตัดต่อตามความถนัด

ตัดต่อเสียง

สำหรับโปรแกรม ตัดต่อเสียง นั้น ที่นำมาแนะนำนั้นก็มีทั้งยากและง่ายแตกต่างกันไปตามฟีเจอร์หรือความซับซ้อนของโปรแกรม ซึ่งหลายๆคนก็ควรที่จะเลือกให้เหมาะสมกับงานหรือ วิธีการตัดต่อเสียง ที่เราต้องการหรือวางแผนที่จะทำ หรือทุกคนก็ควรที่จะฝึกฝนการตัดต่อจากเว็บหรือโปรแกรมง่ายๆให้คล่องและถนัดก่อนแล้วค่อยไปหาเว็บที่ซับซ้อนก็ไม่ว่ากัน เพราะความพยายามไม่เคยหักหลังใครอยู่แล้ว ยิ่งฝึกฝนก็ยิ่งเก่ง

 

ภาพจาก:

https://bit.ly/3emNxms
https://www.ashampoo.com/en-us/music-studio-2020
https://www.adobe.com/be_en/products/audition/free-sound-effects.html
https://www.maketecheasier.com/ocenaudio-easiest-audio-editing-tool/
https://soundation.com/station/2018/12/13/unveiling-the-new-soundation-studio/
https://www.audacityteam.org/
https://bit.ly/3qdQjQG 

Categories
มือใหม่

สอนออกแบบหน้าเว็บ ที่มือใหม่ทุกคนควรรู้

สอนออกแบบหน้าเว็บ

เว็บไซต์เป็นจุดเริ่มต้นของหลายสิ่งหลายอย่างในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นมีเว็บขายของเป็นของตัวเอง หรือเว็บไซต์ที่ให้ความรู้และสามารถค้นคว้าด้านต่างๆ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ดีมาก และหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการทำเว็บไซต์นั่นก็คือตัวหน้าเว็บไซต์ของเรา ซึ่งหลายคนอาจจะคิดว่าการที่เราจะทำเว็บหรือหน้าเว็บด้วยตนเองมันอาจจะยาก หรือ งง วันนี้เราเลยจะมา สอนออกแบบหน้าเว็บ แนะนำวิธีที่ควรเริ่มต้นให้เจ้าหน้าเว็บของเราสามารถเข้าถึงใช้งานได้ง่าย ดึงดูด น่าสนใจ และดูดีเหมือนเจ้าของเว็บเป็นมืออาชีพมาทำเอง ซึ่งการ สอนออกแบบหน้าเว็บ ในวันนี้นั้นก็มีแต่วิธีง่ายๆทั้งนั้นเลย

สอนออกแบบหน้าเว็บ 5 ขั้นตอนวางแผนทำหน้าเว็บให้เป็นเหมือนมืออาชีพ 

และแต่ละวิธีที่เรานำมา สอนออกแบบหน้าเว็บ ให้เพื่อนๆในวันนี้ เป็นวิธีที่ง่ายแสนง่ายทุกคนสามารถนำไปวางแผนเพื่อ ทำหน้าเว็บ เองก็ได้ หรือจะเป็น วิธีออกแบบหน้าเว็บ แล้วไปจ้างคนอื่นทำเว็บก็ได้เช่นกัน ไม่เสียหายอะไรงั้นเราลองมาดูกันดีกว่า 5 ขั้นตอน นั้นจะมีขั้นตอนอะไรกันบ้าง อะไรควรที่จะเริ่มทำก่อนหรือทำหลังกันแน่ รับรองเลยว่าหากได้ลองทำตามที่ สอนออกแบบหน้าเว็บ ไปแล้วเพื่อนๆจะมีหน้าเว็บที่สวย ดูดีแน่นอน ถ้าพร้อมแล้วก็ไปดูกันเลย

สอนออกแบบหน้าเว็บ

ขั้นตอนที่ 1 รวบรวมและจัดระเบียบข้อมูล

ขั้นตอนแรกคือการจัดระเบียบข้อมูลให้เป็นระบบ วิธีการในข้อนี้จะเป็นการเอาข้อมูลหรือรวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่เราต้องการใช้ในเว็บไซต์ของเรามา เพื่อที่จะแสกนดูว่าข้อมูลที่เราอยากจะเอาลงเว็บไซต์ให้คนอื่นได้อ่านหรือรับชมนั้นมีอะไรบ้าง และมันสามารถที่จะแบ่งประเภท ชนิด หรือ Category (หมวดหมู่) ที่เป็นอันเดียวกันได้ไหมถ้าได้ก็จัดไว้ด้วยกันเลย หลังจากแบ่งได้แล้ว เพื่อนๆก็มาดูต่อว่าเว็บไซต์นั้นอยากจะมีอะไร หน้าเว็บไซต์มีอะไรบ้าง ซึ่งในส่วนโครงสร้างหลักที่ควรจะมีสำหรับเว็บไซต์ คือ HOME (หน้าหลัก), ABOUT (เกี่ยวกับ), BLOG (บทความ), SERVICE (บริการ), CONTRACT (ติดต่อ)

สอนออกแบบหน้าเว็บ

ขั้นตอนที่ 2 เลือกรูปแบบเว็บไซต์

ขั้นตอนนี้มันจะเป็นข้อนตอนหลังจากที่เราเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างของข้อมูลความตั้งใจของเราแล้วว่าเราจะเปิดเว็บไซต์แบบไหนซึ่งจะเน้นเป็น สอนออกแบบหน้าเว็บ ตามหมวดหมู่ของเรา อย่างเช่น 

  • หากเพื่อนๆอยากทำเว็บที่จะเน้นที่ทำให้คนที่เข้ามารับชมเชื่อมั่นในตัวแบนด์ของตัวเอง เน้นข้อมูล จะต้องเลือรูปแบบเว็บไซต์เป็น แบรนด์ดิ้ง 
  • หรืออยากทำเป็นบทความไดอารีแชร์เรื่องราวหรือประสบการณ์ต่างๆก็ต้องเป็น เว็บไซต์รูปแบบ เว็บบล็อก
  • หรือหากอยากจะ ทำเว็บไซต์ขายของ ขายสินค้า ก็ต้องเป็นพวก เว็บ E-COMMERCE (อีคอมเมิร์ช)

ซึ่งเว็บไซต์ต่างๆก็จะมีรูปแบบหลายๆอย่างที่เหมือนกันและไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการนำเสนอ การจัดวางข้อมูลต่างๆ หากถ้าเพื่อนๆได้ลองดูวิธี สอนออกแบบหน้าเว็บ รูปแบบต่างๆมากขึ้นก็อาจจะทำให้เพื่อนๆมี การออกแบบ มีความเข้ากันหรือมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยนะ

สอนออกแบบหน้าเว็บ

ขั้นตอนที่ 3 สร้างโครงร่างของหน้าเว็บไซต์

เมื่อผ่านสองขั้นตอนแรกของการ สอนออกแบบหน้าเว็บ มาเรียบร้อยแล้วเราก็ต้องมาออกแบบหน้าตาเว็บไซต์ของเราว่าในผังแต่ละหน้าเราจะวางข้อมูลหรือรูปภาพไว้ตรงไหนอย่างไร อันไหนอ่านง่ายสุด แต่ถ้าหากเพื่อนๆยังไม่มีแนวคิดหรือภาพในหัวว่าผังควรจะเป็นยังไง เพื่อนๆก็ลองหากแรงบันดาลใจจากแหล่งอื่นๆ หรือหลายๆเว็บ มาก่อนที่จะมาร่างหรือสร้างโครงร่างของหน้าเว็บก็ได้ ซึ่งการ สอนออกแบบหน้าเว็บ มันไม่มีถูกหรือผิดอยู่แล้วในการวางผังหน้าเว็บ แต่ถ้าหากว่าเพื่อนๆวางผังหรือ ออกแบบหน้าเว็บ มาดี อ่านง่าย สื่อสารได้ชัดเจน เว็บของเพื่อนๆก็อาจจะเป็นเว็บยอดนิยมได้ง่ายๆเลย

สอนออกแบบหน้าเว็บ

ขั้นตอนที่ 4 กำหนดหรือออกแบบโทนสี และรูปแบบต่างๆของตัวเอง 

ในหัวข้อการ สอนออกแบบหน้าเว็บ นี้เพื่อนๆสามารถที่จะกำหนดหรือคุมโทนสีงานของเว็บไซต์ตัวเองได้ที่เรียกว่า STYLE GUIDE ซึ่งหาเรามีการกำหนดหรือออกแบบโทนสีเรียบร้อยแล้วมันจะทำให้เราทพงานได้อย่างราบรื่น ซึ่งในหัวข้อนี้มันจะมีข้อย่อยประมาณ 4 อย่างที่ทุกคนต้องกำหนดหรือควรออกแบบเอาไว้นั่นก็คือ

    • แบนเนอร์ ส่วนนี้เป็นส่วนที่สำคัญเลยก็ว่าได้นะ เพราะส่วนนี้เป็นส่วนที่ใครๆเปิดเว็บไซต์ขึ้นมาก็จะเห็น แล้วก็จำได้ซึ่งตรงแบนเนอร์นี้เราอจะจะใส่กราฟฟิก ใส่ภาพ สีสันอะไรลงไปก็ได้ ยิ่งสวยยิ่งดีเพราะเราสามารถเอาไปลงต่อได้ที่ช่องทางอื่นๆ
    • โลโก้ อันนี้คือชิ้นส่วนหลักเลย ทุกคนทำเป็นแบรด์สินค้า หรือ แอคเค้าต์ขึ้นมาให้คนจดจำได้มากขึ้น
    • โทนสี การเลือกโทนสีที่ใช้ในส่วยยี้จะช่วยให้ ออกแบบหน้าเว็บออนไลน์ ของเรานั้นสวยมากขึ้น ดังนั้นเราควรเลือกสีที่มันดูสะอาดหรือเมื่อดูและจ้องแล้วมันสบายตามากขึ้น ทำให้การ
    • ฟอนต์ ในส่วนของตัวฟอนต์ส่วนใหญ่เราจะดูออกเป็น 2 อย่างก็คือ Header กับ PARAGRAPH ซึ่งตัวฟอนต์ก็ต้องเป็นรูปแบบที่อ่านได้ง่าย จับคู่กับสีแล้วยังดูสบายตาอยู่ โดยฟอนต์ภาษาอังกฤษ จะมีให้เลือกใช้มากมาย ส่วนฟอนต์ของภาษาไทยส่วนใหญ่ใน Google จะใช้รูปแบบฟอนต์ Kanit, Mitr, Prompt, Trirong
สอนออกแบบหน้าเว็บ

ขั้นตอนที่ 5 ประกอบร่างเว็บไซต์

หลังจากที่เพื่อนทุกคนวางแผนทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็เริ่มมาประกอบรูปร่างทั้งหมดเข้าด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ หน้าแรกเว็บไซต์ หรือ หน้า Home ของเรานั่นเอง ซึ่งหน้านี้เป็นหน้าที่ค่อนข้างสำคัญเพราะมันเหมือนหน้าที่สรุปว่าในเว็บไซต์ของเรามีอะไรให้น่าติดตามบ้าง ซึ่งในตัวหน้านี้อาจจะใช้เวลาค่อนข้างเยอะ และโปรแกรมที่ควรใช้ในส่วนของการทำหน้านี้ จะเป็น โปรแกรม PHOTOSHOP : ที่จะมีทั้งแบบฟรี หรือแบบที่เสียตังก็มีซึ่งจะได้ใช้เครื่องมือที่ครบเครื่องมากกว่า หรือจะเป็นโปรแกรม ILLUSTRATOR ก็ใช้ได้เช่นกัน นอกจากนี้ก็ยังสามารถใช้ แอพสร้างเว็บไซต์ฟรี ก็ได้

นอกจากหน้า Home ของการ ออกแบบหน้าเว็บสวยๆ เสร็จแล้ว เพื่อนๆก็เริ่มทำหน้าต่อไปเลยซึ่งสามารถที่จะใส่เนื้อหาต่างๆที่มีการเตรียมไว้ใส่ให้เรียบร้อยและ วางภาพประกอบ ชื่อ สี หรือสินค้าต่างๆใส่ไปให้หมด

เป็นแค่มือใหม่ก็สามารถทำได้ง่ายๆ

เป็นยังไงกันบ้างสำหรับการ สอนออกแบบหน้าเว็บ ที่เรานำมาแนะนำเพื่อนๆกันในวันนี้ซึ่งเป็นขั้นตอนเบื้องต้นเลยสำหรับการ ออกแบบเว็บออนไลน์ หรือ การสร้างเว็บไซต์ฟรี ก็ได้ ซึ่งทุกคนสามารถทำอันนี้ได้ก่อนลงมือทำหน้าเว็บก่อนที่จะแอคทีพหนาเว็บ อีกทั้งยังเป็นการประหยัดเวลาการทดลองหรือการตัดสินใจการออกแบบหน้าเว็บของคุณ ก็หวังว่าทุกคนจะนำขั้นตอนต่างๆที่เราแนะนำไปใช้กันนะ

 

ภาพจาก:

https://www.make2web.com/courses/
https://bit.ly/3mktEAZ
https://bit.ly/33xQLl0
https://blog.ragnar.co.th/blog/what-is-wireframe
https://modeeffect.com/why-your-website-needs-a-style-guide/
https://bit.ly/3qdsrwD 

Categories
เทคนิค

ก้าวแรกสำหรับนักทำเว็บไซต์มือใหม่กับโปรแกรม ADOBE DREAMWEAVER

ADOBE DREAMWEAVER

ในปัจจุบันการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ในโลกอินเทอร์เน็ตนั้นเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว หลายๆ บริษัททั้งประเทศไทยเองและต่างประเทศต่างก็มีเว็บไซต์ประจำของตัวบริษัทตัวเองในการในเสนอตัวตน แหล่งข้อมูล และรายละเอียดต่างๆ เพื่อให้ผู้รับชมในฐานะลูกค้าผู้รับบริการหรือแม้กระทั่งคนที่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท เพราะฉะนั้น วันนี้เราจะมาแนะนำโปรแกรมสำหรับมือใหม่หัดทำเว็บไซต์มุ่งสู่เส้นทางมืออาชีพอย่าง ADOBE DREAMWEAVER กัน

ADOBE DREAMWEAVER จุดเริ่มต้นดีๆ ของนักสร้างเว็บไซต์มืออาชีพ

ADOBE DREAMWEAVER

หลายคนอาจจะสงสัยว่า ADOBE DREAMWEAVER CS6 ใช้สร้างอะไรได้บ้าง ADOBE DREAMWEAVER เป็นโปรแกรมที่ช่วยในการสร้างเว็บไซต์ และเหมาะสมสำหรับนักพัฒนาเว็บไซต์มือใหม่ โดยสามารถนำรูปภาพหรือข้อความมาประกอบเป็นเว็บเพจ อีกทั้งยังเพิ่มลูกเล่นต่าง ๆ เช่น เสียง ภาพเคลื่อนไหว วิดิโอ ซึ่งไม่จำเป็นต้องรู้หลักการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา HTML ก็สามารถสร้างเว็บไซต์ได้ งั้นเรามารู้จักเจ้า ADOBE DREAMWEAVER ให้มากขึ้นกันดีกว่า โดยโปรแกรมที่จะแนะนำเป็น โปรแกรม DW CS6 นะ

ความเป็นมาของ DREAMWEAVER

ADOBE DREAMWEAVER หรือชื่อเดิมคือ MACROMEDIA DREAMWEAVER เป็นโปรแกรมแก้ไข HTML พัฒนาโดย MACROMEDIA ปัจจุบันควบกิจการรวมกับบริษัท ADOBE SYSTEMS โดย ADOBE DREAMWEAVER มีทั้งในระบบปฏิบัติการ MAC OS / MICROSOFT WINDOWS และ UNIX-LIKE OPERATING SYSTEM

โปรแกรม DREAMWEAVER มีการพัฒนา ตั้งแต่ ธันวาคม ค.ศ. 1997 เป็น DREAMWEAVER 1.0 เป็นเวอร์ชันแรกสำหรับระบบปฏิบัติการ MAC OS จากนั้นออกรุ่น DREAMWEAVER 1.2 เป็นเวอร์ชันแรกสำหรับระบบปฏิบัติการ WINDOWS และรุ่นลุ่กตอนนี้คือ DREAMWEAVER CC 2021 

มาลองใช้โปรแกรมกันเลย

เริ่มจาก ขั้นตอนการเริ่มต้นใช้งาน ก็ต้องเปิดโปรแกรม ADOBE DREAMWEAVER จะปรากฏหน้าต่าง WELCOME SCREEN ก่อนการเข้าสู่หน้าโปรแกรมหลัก ซึ่งแต่ละส่วนมีรายละเอียด ดังนี้

ADOBE DREAMWEAVER
  1. OPEN A RECENT ITEM : แสดงชื่อเว็บเพจที่เคยใช้งานมาแล้ว หรือคลิกที่ปุ่ม OPEN เพื่อค้นหาไฟล์ที่ต้องการ
  2. CREATE NEW : สร้างไฟล์ใหม่ โดยถ้าคลิก HTML จะเป็นการสร้างเว็บเพจพื้นฐานแต่ถ้าคลิกหัวข้ออื่นจะเป็นการสร้างเว็บเพจหรือไฟล์ตามชนิดนั้น เช่น
  • HTML : สร้างหน้าเว็บธรรมดา เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นสร้างเว็บ
  • COLDFUSION : สร้างหน้าเว็บแอพพลิเคชันที่พัฒนาด้วยเทคโนโลยีฝั่งเซิร์ฟเวอร์ COLDFUSION
  • PHP : สร้างหน้าเว็บแอพพลิเคชันที่พัฒนาด้วยเทคโนโลยีฝั่งเซิร์ฟเวอร์ PHP
  • CSS : สร้างไฟล์เก็บรูปแบบตัวอักษร ตาราง สีพื้นหลัง เพื่อนำไปใช้ในทุก ๆ หน้าเว็บเพจ
  • JAVASCRIPT : สร้างไฟล์สคริปต์ที่ทำงานฝั่งไคลเอนต์ และทำงานที่เครื่องของผู้เข้าชมเว็บไซต์
  • DREAMWEAVER SITE : สร้างเว็บไซต์ใหม่
  1. TOP FEATURES (VIDEOS) : เข้าสู่หน้าเว็บ ADOBE TV ดูวิดิโอสาธิตการใช้งานและอธิบายส่วนประกอบของโปรแกรม ADOBE DREAMWEAVER CS6
  2. เปิดดูคำแนะนำการใช้โปรแกรม
  3. เปิดดูคำแนะนำการใช้โปรแกรม
  4. คลิกออปชันนี้หากไม่ต้องการแสดง WELCOME SCREEN อีกในครั้งต่อไป
ADOBE DREAMWEAVER

มาทำความรู้จักกันต่อใน ส่วนประกอบของโปรแกรม ADOBE DREAMWEAVER CS6 ในการการใช้งาน ADOBE DREAMWEAVER

  1. MENU BAR เป็นแถบรวบรวมคำสั่งทั้งหมดของโปรแกรม
  • CODE สำหรับแสดงการทำงานในรูปแบบ HTML นอกจากนี้ยังสามารถเขียนคำสั่ง HTML หรือคำสั่งภาษาสคริปต์ ได้ด้วย
  • SPLIT สำหรับแสดงการทำงานแบบ HTML กับการแสดงพื้นที่ออกแบบ โดยจะแสดงส่วนของคำสั่ง ไว้ด้านบนและแสดงเว็บเพจปกติไว้ ด้านล่าง
  • DESIGN สำหรับแสดงเว็บเพจคล้ายกับที่เราเห็นในเบราว์เซอร์ เช่น ข้อความ กราฟิก หรือออปเจ็กต์อื่นๆ และสามารถแก้ไขเนื้อหาลงเว็บเพจได้
  • TITLE สำหรับแสดงชื่อของเว็บเพจ ในส่วนของแถบหัวเรื่อง
  • SAVE และ SAVE AS… ก็จะมีความสงสัยว่า โปรแกรม ADOBE DREAMWEAVER เมื่อบันทึกจะได้ไฟล์ชนิดใด ส่วนมากเราจะบันทึกเป็นไฟล์ HTML
  1. TOOLBAR เป็นแหล่งรวมเครื่องมือซึ่งใช้ในการวางออบเจ็กต์ชนิดต่าง ๆ ของโปรแกรม ADOBE DREAMWEAVER โดยจะแบ่งเป็นกลุ่มคำสั่งเพื่อให้ใช้งานได้สะดวก ซึ่งจะประกอบด้วยกลุ่มคำสั่งดังนี้
  • COMMON ใช้วางออบเจ็กต์ที่ต้องใช้งานบ่อย ๆ เช่น รูปภาพ ตาราง ไฟล์มัลติมีเดีย เป็นต้น
  • LAYOUT ใช้วางออบเจ็กต์ที่ใช้จัดโครงสร้างของเว็บเพจ เช่น ตาราง เฟรม และ AP ELEMENT
  • FORMS ใช้วางออบเจ็กต์ที่ใช้ในการสร้างแบบฟอร์มรับข้อมูล เช่น ช่องรับข้อความ ปุ่มตัวเลือกต่าง ๆ
  • DATA ใช้วางคำสั่งที่ใช้การจัดการฐานข้อมูล และดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลมาแสดงบนเว็บเพจ
  • SPRY ใช้วางออบเจ็กต์ที่ใช้เทคโนโลยีของ AJAX
  • JQUERY MOBILE ใช้สร้างหน้าเพจที่แสดงบนอุปกรณ์มือถือและแท็บเล็ตโดยใช้เทคโนโลยีแบบ JQUERY
  • INCONTEXT EDTING ใช้สร้างออบเจ็กต์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งานสามารถแก้ไขเว็บเพจได้
  • TEXT ใช้สำหรับจัดปรับแต่งหรือจัดรูปแบบของตัวอักษรและข้อความสะดวกให้ผู้ใช้งาน เช่น หัวเรื่อง ตัวหน้า ตัวเอียง รวมทั้งแทรกสัญลักษณ์พิเศษต่าง ๆ เช่น $ (DOLLAR) © (COPYRIGHT) เป็นต้น
  • FAVORITES เป็นกลุ่มที่สามารถเพิ่มปุ่มคำสั่งที่ใช้บ่อยจากกลุ่มอื่น ๆ เข้ามาเก็บไว้ใช้งานเอง เพื่อความสะดวกในการใช้งาน
  1. DOCUMENT WINDOWS เป็นพื้นที่สำหรับสร้างหน้าเว็บเพจ และสามารถเลือกพื้นที่การทำงานได้หลายมุมมอง เช่น CODE VIEW / CODE AND DESIGN และ DESIGN VIEW
  2. STATUS BAR เป็นแถบแสดงสถานะ ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ทางด้านซ้ายเรียกว่า TAG SELECTOR ใช้สำหรับแสดงคำสั่ง HTML ของส่วนประกอบในเว็บเพจที่เลือกอยู่ และทางด้านขวาเป็นส่วนที่บอกขนาดหน้าจอการแสดงผลและเวลาที่ใช้ในการดาวน์โหลดเว็บเพจ
  3. PROPERTIES INSPECTOR เป็นส่วนที่กำหนดคุณสมบัติต่าง ๆ ในการปรับแต่งองค์ประกอบของหน้าเว็บเพจ
  4. INSERT BAR เป็นแถบที่ประกอบด้วยปุ่มคำสั่งที่ใช้ในการแทรกออบเจ็กต์ (องค์ประกอบต่างๆ) ลงในเว็บเพจ โดยแบ่งเป็นหมวดหมู่
  5. PANEL GROUP เป็นกลุ่มหน้าต่างพาเนล ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการจัดการและออกแบบเว็บเพจ
ADOBE DREAMWEAVER

ข้อดีและข้อเสียในการใช้ DREAMWEAVER

ข้อดีของโปรแกรม 

  • ADOBE DREAMWEAVER CS6 การใช้งาน ช่วยให้คุณทำงานได้เร็วขึ้น เพราะเมื่อก่อนนั้นถ้าเราต้องการสร้างเว็บเพจ เราจะต้องเขียนภาษา HTML ขึ้นมาเพื่อให้แสดงผลผ่าน BROWSER เป็นรูปภาพหรือข้อความออกมา ซึ่งทำให้เราทำงานได้ช้าลง แต่ DREAMWEAVER โปรแกรมจะแสดงหน้าจอที่แสดงผลให้เราสามารถปรับแต่งหน้าตาของเว็บเพจของเราได้เลย โดย DREAMWEAVER จะทำการเขียน HTML ให้เราเองเป็น EDITOR ที่มีประสิทธิภาพตัวหนึ่ง
  • เป็นโปรแกรมจัดการเว็บไซต์ที่ดีสำหรับ ADOBE DREAMWEAVER ยังเป็นโปรแกรมที่ช่วยให้เราจัดการกับเว็บไซต์ของเราได้ดีขึ้น 
  • ช่วยให้เราทำเว็บได้ง่ายขึ้น สำหรับคนที่ไม่เคยทำเว็บมาก่อนก็สามารถใช้ DREAMWEAVER เพียงโปรแกรมเดียวเพื่อพัฒนาเว็บไซต์ของตัวเองขึ้นมาได้ง่ายเหมือนกับการเขียนหนังสือ

ข้อเสียของโปรแกรม

  • สำหรับข้อเสียของ DREAMWEAVER นั้นก็มีอยู่ตรงที่ถ้าเราไม่เรียนรู้วิธีการใช้งานที่ถูกต้องเราจะได้เว็บไซต์ที่มี CODE เยอะมากทำให้การแก้ไขภายหลังจะทำได้ยาก ต้องพยายามศึกษาตัวอย่างการใช้งานในหลายรูปแบบ อีกข้อนึงคือโปรแกรมตัวนี้มีราคาที่ค่อนข้างแพงสำหรับผู้ที่จะเริ่มหัดทำเว็บไซต์

สรุป DREAMWEAVER จุดเริ่มของนักสร้างเว็บไซต์ฝึกหัด

ADOBE DREAMWEAVER อาจจะเป็นทางเลือกหนึ่งทางสำหรับคนอยากสร้างเว็บไซต์เบื้องต้น แต่ผู้ใช้อาจจะเข้าใจในการเขียนทางคอมพิวเตอร์ระดับหนึ่งถึงเริ่มมี เทคนิคการใช้โปรแกรม และเริ่ม ขั้นตอนการสร้างไซต์ สำหรับคนที่ติดปัญหาเรื่องเงินซื้อโปรแกรม ก็จะมีให้ทดลองฟรีอยู่ ลองหัดลองศึกษา ตามเว็บไซต์และตัวโปรแกรมแนะนำเชื่อว่าคุณก็จะเป็นนักเขียนเว็บไซต์ได้แน่

 

ภาพจาก:

https://i-loadzone.com/adobe-dreamweaver-cs6/
https://tpd.dtam.moph.go.th/index.php/service-it/knowledge-it/programs-it/68-adobe-dreamweaver-cs6
https://bit.ly/3s46C50
https://www.gotoknow.org/posts/599641
https://fixthephoto.com/th/%E0%B9%82%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%94-dreamweaver.html

Categories
กราฟิก

มารู้จักการย่อข้อมูลให้อ่านง่ายในรูปแบบภาพอินโฟกราฟิกกัน

ในปัจจุบันด้วยการมีของเทคโนโลยีที่ทันสมัยและรวดเร็วทำให้มนุษย์เราก็มีการปรับตัวตามอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน ทำให้กระบวนการทำ ภาพอินโฟกราฟิก เริ่มมีบทบาทในสังคมมากขึ้น เพราะว่า ผู้คนในปัจจุบันต้องการรู้แบบให้พอรู้ ยังไม่ต้องรู้ลึก การรับรู้ข้อมูลที่เข้าใจง่ายจะช่วยให้ผู้ชมสนใจที่จะอ่าน และใช้เวลาในการรับรู้ข้อมูลไม่ต้องมากยิ่งเป็นข้อมูลที่มากด้วยแล้ว การทำแบบนี้จะยิ่งช่วยลดความน่าเบื่อของการรับสารข้อมูลอีกด้วย

รวมตัวช่วยในการจุดประกายในการทำภาพอินโฟกราฟิก

ในการออกแบบ ภาพอินโฟกราฟิก ที่ต้องการของสื่อหลายชนิด แต่หลายครั้งต้องการประหยัดงบ หรือบางคนเริ่มอยากหัดทำนั้นติดปัญหาเรื่องไอเดีย องค์ประกอบของภาพอินโฟกราฟิก การเลือกสี กราฟิกดีไซน์ หรือแม้แต่เปิดหัวข้อมายังไม่รู้จะเร่มยังไง ทางเราจึงจะแนะนำตัวช่วยในการทำ ภาพ infograhic

1. PINTEREST

ภาพอินโฟกราฟิก

เว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นสำหรับรวบรวมรูปภาพและวิดีโอที่น่าสนใจจากทั่วโลก โดยผู้ที่ลงผลงานสามารถเป็นใคร อยู่ที่ไหนก็ได้ จึงเปรียบเสมือนพิพิธภัณฑ์ GALLERY ที่โชว์ผลงานของตนเองให้กับคนทั้งโลกได้ชม ทางเว็บไซต์ PINTEREST จะมีความโดดเด่นทางการหาแนวทางสายอาร์ต ไม่ว่างานกราฟิก วาดภาพ ตกแต่งภายใน แต่งสวน หรือกระทั่ง ภาพอินโฟกราฟิก สามารถหาแนวทางตัวอย่างอินโฟกราฟิก เช่น ต้องการหา INFOGRAPHICสายสุขภาพ ทาง PINTEREST ก็จะตามหา INFOGRAPHIC ต่างๆ ที่เป็นแนวทางให้เราได้

ฟังก์ชั่นที่หลายๆ คนชอบใน PINTEREST คือการจดจำไลพ์สไตล์งานหรือภาพที่เราชอบ เพื่อมาแนะนำในหน้าหลักของเราได้ และยังมีการติดตามศิลปินที่ตัวเองชอบเพื่อติดตามงานต่างๆ ของเขาได้อีกด้วย

2. INFOGRAPHIC THAILAND

ภาพอินโฟกราฟิก

การศึกษาการออกแบบ งานออกแบบกราฟิก แบบมืออาชีพ อีกอย่างก็คือการศึกษากับมืออาชีพอย่างINFOGRAPHIC THAILAND ที่รับทำ ภาพอินโฟกราฟิก และยังมีคอร์สออนไลน์ในการทำอินโฟกราฟิก กับหลักสูตรอบรม ถ้ายังไม่ได้สนใจถึงขั้นเรียนเรื่องการทำอินโฟกราฟิก เพจนี้ยังเป็นการรวมเอา INFOGRAPHIC ดีๆ มาบอกต่อให้เข้าใจได้ง่ายๆ และสนุกไปกับข้อมูลและเรื่องราวใหญ่ๆใกล้ตัว ซึ่งเป็นตัวอย่างเอาไว้ศึกษาและหาแนวทางได้ เพื่อปรับมาทำ INFOGRAPHIC ในแบบของตัวเอง เพราะด้วยความเป็นคนไมยจะเข้าใจว่าจะดึงดูดให้คนไทยมาสนใจ ภาพอินโฟกราฟิก ของตนเองได้ยังไง งานด้านกราฟิก

3. BETTERPITCH

ภาพอินโฟกราฟิก

เป็นอีกเพจหนึ่งที่ควรค่าในการศึกษาการทำ ภาพอินโฟกราฟิก รวมไปถึงการในเสนองานในรูปแบบสไลต์ MICROSOFT POWERPOINT อีกด้วยว่าการจัดองค์ประกอบของภาพจะสามารถสื่อจุดประสงค์ของงานยังไงให้เข้าใจง่ายที่สุด แค่กดติดตามเพจ เวลาขึ้นหน้าฟีตของเราใน FACEBOOK ก็จะได้เกร็ดข้อมูลความรู้เพิ่มเติมความสามารถในการออกแบบของเราได้ 

สำหรับบางคนที่ชอบนั่งอ่านสือมากกว่ามางมหาข้อมูลทางเพจ BETTERPITCH มีหนังสือพูดด้วยภาพ 1 และ 2 เป็นการแนะนำการนำเสนอข้อมูลอีกด้วย แถมยังคอร์สเล่นออนไลน์ฟรีและคอร์สดีไซน์ INFOGRAPHIC 1 PAGE ในราคาแค่ 1,500 บาท

4. CANVA

ภาพอินโฟกราฟิก

CANVA เป็นโปรแกรม GRAPHIC DESIGN ที่เรียกได้ว่าสารพัดประโยชน์เหมาะมือใหม่ยันไปถึงมืออาชีพในด้านการทำ ภาพอินโฟกราฟิก ภายใน CANVA มี INFOGRAPHIC TEMPLATE มาให้คุณเลือกกันอยู่แล้ว แค่คุณต้องการรูปแบบไหน แถมยังเจาะจงไปถึงแนว TEMPLATE ที่ต้องอีกด้วย เช่น การศึกษา ธุรกิจ การนำเสนอ โฆษณา และอีกมากมาย เหล่านี้จะช่วยให้คุณทำงานง่ายมากขึ้น เพราะมันจะเหมาะกับสิ่งที่คุณจะเสนอ อย่างเช่นแบบ ธุรกิจ ก็จะมีมีตัวเลขให้ดูเยอะๆ หรือแบบโฆษณาที่จะย่อตัวอักษรเน้นการนำเสนอรูปภาพแทน หลังจากเลือก TEMPLATE แล้วคุณยังสามารถแก้ไข ปรับเปลี่ยนได้อีกด้วย 

ในการแก้ไขของ CANVA เพื่อทำ ทำกราฟิก มีฟังค์ชั่นที่น่าสนใจหลายรูปแบบมากเช่น แนะนำการปรับฟอร์นภาษาไทยกับอังกฤษให้มีแนวทางใกล้เคียงกัน หรือคุณขาด ELEMENT อะไรเช่นรูปภาพ หรือ EFFECT ทางเว็บไซต์ก็มีให้ใช้มากมาย ทาง CANVA นั้นรองรับภาษาไทย และทำ กราฟิกฟรี แต่ก็จะขอบเขตในการใช้เครื่องมือของ CANVA แต่ถ้าหากอยากได้มากกว่านี้ก็สามารถสมัครขั้น PRO เพื่อปลดล็อคทุกอย่างใน CANVA ใน ราคา $9.95 เพื่อการทำ ภาพอินโฟกราฟิก ที่ช่วยงามมากขึ้น

5. ADOBE SPARK 

ภาพอินโฟกราฟิก

ADOBE SPARK เป็นอีกเครื่องมือที่ใช้ทำ ภาพอินโฟกราฟิก แบบสำเร็จรูปอันยอดเยี่มเพราะว่ามี INFOGRAPHIC TEMPLATE มีตัวเลือก ประเภทของกราฟิก ให้เลือกมากมายมหาศาล แต่ละแบบยังดูสวยงามและดูเหมือนมืออาชีพคนหนึ่งออกแบบมา ด้วยการสร้างวิธีเดียวกับ CANVA นั่นคือใช้ระบบ DRAG AND DROP ทำให้การสร้างอินโฟกราฟิกขึ้นมาสักอันง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากC]Tที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือ งานทุกอย่างของคุณจะเก็บไว้ใน CLOUD ดังนั้นสามารถเข้าถึงงานของคุณได้ทุกที่ทุกแห่ง ขอแค่คุณมีคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ หรือ TABLET 

แต่จะติดตรงที่โปรแกรมไม่สามารถลบลายน้ำออกจากงาน กราฟิกดีไซน์ ของเราได้ และมีแบบฟรีสำหรับ INFOGRAPHIC TEMPLATE แค่ประมาณ 140 แบบ ถ้าต้องการเพิ่มเติมกว่านี้จะมี ADOBE SPARK PRO ที่แบบมากกว่าหลายเท่า และสามารถทำงานแบบแทคทีมได้ เพิ่มเติมฟังก์ชันให้เลือกงานได้อีกมากเลย ด้วยราคาประมาณ 320 บาท แล้วแต่โปรที่คุณเลือกมา

6. VISME

ภาพอินโฟกราฟิก

VISME จัดได้ว่าเป็นน้องใหม่ของวงการสร้าง ภาพอินโฟกราฟิก ได้ภายในไม่กี่นาทีเท่านั้น ด้วยระบบที่เหมือนกันของเจ้าอื่นนั้นคือ DRAG AND DROP เหมือนตัวอื่นๆ แต่ที่แตกต่างจากเจ้าอื่นเลยั้นก็คือการทีมีวิดีโอสอนทั้งหมดว่าจะสร้างอินโฟกราฟิกแบบไหนด้วยวิธีอย่างไร ทำให้คุณไม่ต้องไปลองจิ้มมั่วหาวิธีเอง นอกจากนั้น VISME ยังมีฟังก์ชันที่สามาถดึงดูดสายตาของผู้ชมของคุณได้เช่น EFFECT ต่างๆ มากมายที่ทำให้ตัวเลขของคุณสวนน่าอ่าน และคุณยังสามารุใส่ VIDEO ลงไปในงานของคุณได้ด้วย

VISME ค่อนข้างใจกว้างสำหรับสายฟรี เพราะคุณสามารถเข้าถึงรูปต่างๆ ได้ถึง 500,000 รูป INFOGRAPHIC TEMPLATE อีกกว่า 50 แบบ รวมไปถึงทุกฟังช์ชั่นของทางเว็บไซต์ แต่คุณสามารถสร้างผลงานได้เพียง 5 ชิ้นเท่านั้น ถ้าครบแล้วต้องการทำต่อต้องอัพเกรดเป็นแบบ PRO ในราคา $14 – $25 ต่อเดือน

ข้อคำแนะนำทิ้งท้ายสำหรับมือใหม่หัดทำอินอินโฟกราฟิก

จากการแนะนำตั้งแต่แรกนั้นทำให้ทุกคนเข้าใจ อินโฟกราฟิกคือ อะไรและรู้จักวิธีทำ เผื่ออาจเป็นหนทางสู้ กราฟิกฟรีแลนซ์ ต่างๆ จะเห็นได้ว่าตัวช่วยในการสร้างและแนวทางการทำอินโฟกราฟิกมีจำนานมาก ทั้งนี่ก็แล้วแต่ความชอบและกำลังซื้อของแต่ละคนว่ามีมากน้อยแค่ไหน และเวลาที่หาแนวทางคือคุณต้องรู้จักมาปรับเปลี่ยนด้วยไม่ใช่การก็อปมาทั้งหมดแล้วเสร็จในทันที ถ้าหากไม่ใช่พวกเว็บไซต์ช่วยสร้างคุณอาจจะเดือดร้อนก็”ด้ ยังไงจากทั้งหกตัวช่วยทุกคนก็ลองทำอินโฟกราฟิกในแบบของตัวเองดูนะ

 

ภาพจาก:

HTTPS://CONTENTSHIFU.COM/BLOG/HOW-TO-USE-PINTEREST-TO-COLLECT-IDEAS
HTTPS://WWW.FACEBOOK.COM/INFOGRAPHIC.THAILAND/
HTTPS://WWW.FACEBOOK.COM/BETTERPITCH/PHOTOS/A.270177833412060/571632096599964/
HTTPS://WWW.CANVA.COM/TH_TH/FEATURES/
HTTPS://WWW.GOOGLE.COM/SEARCH?Q=ADOBE+SPARK&OQ=ADOBE+SPARK&AQS=EDGE..69I57J0I512L7.493J0J1&SOURCEID=CHROME&IE=UTF-8
HTTPS://FIXTHEPHOTO.COM/TH/VISME-ONLINE-DESIGN-SOFTWARE-REVIEW.HTML

Categories
มือใหม่

วิธีใช้แอป LumaFusion สำหรับการตัดต่อวิดีโอบน iPad

สำหรับมือใหม่ที่ไม่รู้จะเริ่มตัดต่อวิดีโอจากไหนเราแนะนำให้ลองเลือกใช้อุปกรณ์ตัดต่อที่คุณมีอยู่แล้วอย่าง iPad ซึ่งในปัจจุบันมีแอปพลิเคชันสำหรับตัดต่อวิดีโอให้ดาวน์โหลดมากมายอย่างแอป LumaFusion แอป Video Editor ที่ดีที่สุดบน iPad และได้รับความนิยมอย่างมากเมื่อเทียบกับแอปประเภทเดียวกันในท้องตลาด ซึ่งตัวแอปมีฟีเจอร์พื้นฐานมากมายอย่างเช่น การแก้ไขแบบหลาย Layer, ใส่เอฟเฟกต์, ทรานซิชัน, เพิ่มข้อความต่าง ๆ และใส่เพลงประกอบ ถือว่ามีคุณสมบัติใกล้เคียงกับโปรแกรมตัดต่อชื่อดังอย่าง Adobe Premiere หรือ Adobe Rush เลยก็ว่าได้ แอป LumaFusion เป็นแอปที่ต้องเสียเงินซื้อแบบครั้งเดียวจบ ไม่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายแบบรายเดือน จึงเหมาะสำหรับนักตัดต่อมือใหม่ที่ต้องการแอปพลิเคชันดี ๆ ที่มีเครื่องมือที่หลากหลาย สำหรับวิธีใช้แอป LumaFusion ก็ไม่ได้ยากอย่างที่ทุกคนคิด ซึ่งคุณสามารถเรียนรู้วิธีการใช้แอปนี้ได้ในบทความนี้เลยค่ะ

วิธีใช้แอป LumaFusion สำหรับการตัดต่อวิดีโอบน iPad

วิธีใช้แอป LumaFusion สำหรับนักตัดต่อมือใหม่

1.การนำเข้าคลิปลงในแอป LumaFusion

เมื่อคุณได้ถ่ายทำฟุตเทจของคุณเรียบร้อยแล้ว และต้องการนำเข้าคลิปไปยังแอป LumaFusion แอปนี้รองรับรูปแบบไฟล์วิดีโอทุกประเภทไม่ว่าจะเป็น MP4, M4V, Quicktime และอื่น ๆ นอกจากนี้ยังรองรับไฟล์เสียงและภาพมาตรฐานส่วนใหญ่ โดยกดปุ่มด้านบน 3 จุด แล้วเลือกแหล่งอินพุตของคุณ อาจจะรวมถึง iCloud Drive, Dropbox, Google Drive หรือที่จัดเก็บข้อมูลภายนอก เมื่อคุณนำเข้าคลิปแล้ว ก่อนทำการตัดต่อวิดีโอ ให้คุณสร้างโปรเจกต์ก่อน โดยแตะปุ่ม + ที่ด้านล่างของอินเทอร์เฟซ และตั้งชื่อโปรเจกต์ของคุณ จากนั้นคุณก็สามารถลากคลิปจากช่อง “นำเข้า” ลงในไทม์ไลน์ได้

2.ตัดแต่งและตัดต่อคลิปของคุณ

หากคุณต้องการตัดจุดเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุดของคลิป วิธีที่ง่ายที่สุดคือการลากจากปลายคลิปด้านใดด้านหนึ่งโดยใช้นิ้วหรือปากกาทัชสกรีน หากต้องการแบ่งคลิปตรงกลาง ให้แตะที่ใดก็ได้บนไทม์ไลน์แล้วเลื่อนไปทางซ้ายหรือขวา แถบเลื่อนจะอยู่ตรงกลางหน้าจอ ให้คุณเลือกจุดที่ต้องการแยกคลิปได้ เมื่อคุณเลือกได้แล้ว ให้กดที่ไอคอนกรรไกรที่ด้านล่างของหน้าจอ

3.การแก้ไขเสียง

การใช้เครื่องมือแก้ไขเสียงของ LumaFusion นั้น สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือแยกเสียงออกจากคลิปของคุณในไทม์ไลน์ก่อน จากนั้นเลือกช่องสัญญาณเสียงแล้วแตะไอคอนแก้ไข (รูปดินสอ) ที่ด้านล่างของหน้าจอ วิธีนี้จะแสดงตัวเลือกต่าง ๆ มากมาย เช่น เครื่องมือระดับเสียง การเลื่อนและการบิดเบือน

4.การส่งออกวิดีโอของคุณ

เมื่อคุณแก้ไขวิดีโอเสร็จแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือการแชร์ สิ่งที่คุณต้องทำคือแตะปุ่มแชร์/ส่งออกที่ด้านล่างขวาของหน้าจอ ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถส่งออกผลงานวิดีโอของคุณ และคุณยังสามารถบันทึกลงในม้วนฟิล์มของ iPad ไปยังไดรฟ์ iCloud หรือแม้แต่แชร์โดยตรงไปยัง YouTube หรือ Vimeo ได้

วิธีใช้แอป LumaFusion สำหรับการตัดต่อวิดีโอบน iPad

บทส่งท้าย

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลข้างต้นเกี่ยวกับวิธีการใช้แอป LumaFusion นี้เป็นเพียงคุณสมบัติขั้นพื้นฐานที่ผู้ใช้งาน LumaFusion ควรทราบ ซึ่งแอปนี้มีคุณสมบัติที่น่าทึ่งอีกมากมายที่รอให้นักตัดต่อมือใหม่อย่างคุณไปลองสัมผัสด้วยตัวเองบน iPhone และ iPad แต่จะให้ได้ประโยชน์สูงสุด คุณจะต้องใช้หน้าจอที่ใหญ่ขึ้นของ iPad หากคุณต้องการดาวน์โหลดแอป LumaFusion ให้ไปที่ซื้อแอปได้ที่ App Store ในราคา 980.67 บาท ขอบอกเลยว่าแค่คุณมีแอป LumaFusion บน iPad คุณก็สามารถตัดต่อวิดีโอเองได้ง่าย ๆ อย่างสมบูรณ์แบบ

ผู้สนับสนุน: ไฮโลไทย แทงไฮโลออนไลน์ เว็บตรง ได้เงินจริง HILO-88.COM

Categories
เทคนิค

วิธีการเพิ่มฟอนต์ตัวอักษรที่แปลกใหม่ ในโปรแกรม Photoshop บน Windows

การเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการเพิ่มฟอนต์ตัวอักษรในโปรแกรม Photoshop ถือเป็นทักษะพื้นฐานที่นักตัดต่อทุกคนควรทราบ เนื่องจากในกระบวนการออกแบบเกือบทุกการทุกผลงานต้องมีการเพิ่มข้อความ ซึ่งตอนนี้โปรแกรม Photoshop มีฟีเจอร์ที่ช่วยให้คุณสามารถใส่ข้อความลงในรูปได้ ที่สำคัญมีมีฟอนต์สวย ๆ ให้เลือกใช้มากมาย แต่ถ้าคุณต้องการเพิ่มเพิ่มฟอนต์ตัวอักษรที่แปลกใหม่ เข้าไปใน Photoshop ก็สามารถทำได้ด้วยวิธีง่าย ๆ เพียงแค่ทำตามขั้นตอนในบทความนี้ คุณก็จะได้ฟอนต์ตัวอักษรที่แปลกใหม่และช่วยให้คุณสามารถสร้างผลงานการออกแบบที่สร้างสรรค์ได้มากขึ้น

วิธีการเพิ่มฟอนต์ตัวอักษรที่แปลกใหม่ ในโปรแกรม Photoshop บน Windows

วิธีการเพิ่มฟอนต์ตัวอักษรในโปรแกรม Photoshop บน Windows

สำหรับวิธีการเพิ่มฟอนต์ในโปรแกรม Photoshop คุณสามารถดาวน์โหลดฟอนต์จากไลบรารีออนไลน์และเปิดใช้งานฟอนต์ใน Photoshop รวมถึงตรวจสอบปัญหาสิทธิ์การใช้งานที่อาจมาพร้อมกับฟอนต์นั้นด้วยการลงชื่อเข้าใช้ Adobe Creative Cloud เพื่อเริ่มต้นใช้งาน Photoshop รวมถึงเข้าถึงไลบรารีแบบตัวอักษรขนาดใหญ่ที่มีให้ใน Adobe Fonts ซึ่งคุณสามารถเรียนรู้วิธีการเพิ่มฟอนต์ตัวอักษรในโปรแกรม Photoshop บน Windows ได้ด้วยวิธีด้านล่างนี้

1.ค้นหาและดาวน์โหลดฟอนต์ : มีเว็บไซต์ออนไลน์มากมายที่ให้คุณสามารถเลือกแบบฟอนต์ได้หลากหลาย เราแนะนำให้ใช้ตัวตัวเลือกการกรองเพื่อเน้นไปที่สไตล์ที่คุณต้องการ นอกจากนี้คุณยังสามารถดาวน์โหลดแบบฟอนต์จาก Microsoft Store เพียงแค่คลิกที่ปุ่มดาวน์โหลดและปิดแอปที่ใช้งานอยู่

2.ค้นหาไฟล์ฟอนต์ในคอมพิวเตอร์ของคุณ : เปิดโฟลเดอร์ดาวน์โหลดแล้วเลื่อนลงไปที่ไฟล์ฟอนต์ที่เพิ่มล่าสุด หากโฟลเดอร์ถูกซิปให้คลิกขวาและเลือก Extract All… เพื่อเข้าถึงไฟล์ทั้งหมด OTF และ TTF เป็นนามสกุลไฟล์ฟอนต์ทั่วไป

3.การติดตั้งฟอนต์ : โดยทั่วไปใน Photoshop บน Windows มีตัวเลือกในการติดตั้งฟอนต์ โดยมีทั้งหมด 3 ตัวเลือก ดังนี้

วิธีการเพิ่มฟอนต์ตัวอักษรที่แปลกใหม่ ในโปรแกรม Photoshop บน Windows

ตัวเลือก 1 : คลิกขวาที่ไฟล์ฟอนต์แล้วคลิกติดตั้ง หลังจากนั้นฟอนต์ของคุณก็จะสามารถใช้ได้กับทุกแอปพลิเคชันบนคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่แค่เพียง Photoshop เท่านั้น

ตัวเลือก 2 : ไปที่ Photoshop คลิกที่ Menu > Control Panel > Appearance and Personalisation > Fonts เพียงเท่านี้คุณก็จะสามารถคัดลอกและวางไฟล์ฟอนต์ใหม่ลงในรายการฟอนต์ที่เปิดใช้งานได้

ตัวเลือก 3 : หากต้องการใช้ Font Management Utility โปรดดูเอกสารประกอบสำหรับคำแนะนำในการเพิ่มและเปิดใช้งานฟอนต์

วิธีการเพิ่มฟอนต์ตัวอักษรที่แปลกใหม่ ในโปรแกรม Photoshop บน Windows

วิธีเลือกฟอนต์ในโปแกรม Photoshop

หลังจากดาวน์โหลดฟอนต์ และเพิ่มฟอนต์ที่พร้อมใช้งานบนคอมพิวเตอร์ของคุณเรียบร้อยแล้ว ให้เปิดโปรแกรม Photoshop และเลือกในแท็บตัวอักษร หากคุณต้องการเพิ่มเอฟเฟกต์ข้อความของ Photoshop คุณอาจต้องแรสเตอร์ข้อความ เพื่อทำให้เป็นรูปภาพบิตแมปพิกเซลที่แก้ไขได้ และควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณพอใจกับข้อความของคุณก่อนหรือไม่ เพราะหลังจากขั้นตอนนี้คุณจะไม่สามารถแก้ไขข้อความได้อีก อย่างไรก็ตามแม้ว่าไลบรารีฟอนต์ฟรีอาจดูเหมือนเป็น สิ่งที่ไร้ขีดจำกัด แต่คุณก็ควรพิจารณาถึงสิทธิ์การใช้งานที่ซ่อนไว้ก่อน เนื่องจากฟอนต์ทุกตัวถือเป็นซอฟต์แวร์ที่มีเจ้าของ จึงต้องมีข้อตกลงสิทธิ์การใช้งานบางอย่าง ดังนั้นคุณควรตรวจสอบข้อตกลงของใบอนุญาตสำหรับผู้ใช้ก่อนนำมาใช้กับผลงานของคุณ

Categories
เทคนิค

ปรับขนาดรูปภาพด้วยโปรแกรม Photoshop โดยไม่ทำให้ความละเอียดของรูปภาพเสีย

วิธีการปรับขนาดรูปภาพด้วยโปรแกรม Photoshop โดยไม่ทำให้ความละเอียดของรูปภาพเสีย

ความรู้เกี่ยวกับวิธีการปรับขนาดรูปภาพในโปรแกรม Photoshop ถือเป็นทักษะพื้นฐานที่นักออกแบบ หรือช่างภาพทุกคนควรรู้ เพราะก่อนที่คุณจะทำการอัปโหลดรูปภาพไปยังเว็บไซต์ หรือเตรียมสั่งพิมพ์ สิ่งสำคัญคือ คุณต้องรู้จักกำหนดขนาดของรูปภาพที่ถูกต้อง ซึ่งสมัยนี้ถือว่าโชคดีอย่างมากที่ Photoshop โปรแกรมแต่งรูปที่ได้รับความนิยมจากทั่วโลกมีเครื่องมือมากมายที่สามารถช่วยทำให้รูปภาพของคุณมีขนาดภาพที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งบทความนี้จะพาคุณไปเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการปรับขนาดรูป Photoshop พร้อมอธิบายวิธีการที่จะช่วยให้คุณจัดการทำขนาดรูปภาพได้ง่าย ๆ

วิธีการปรับขนาดรูปภาพในโปรแกรม Photoshop เพื่อให้ได้ขนาดรูปภาพที่เหมาะสม

วิธีการที่นักออกแบบ หรือช่างภาพหลายคนเลือกใช้ในการปรับขนาดรูปภาพใน Photoshop คือ การปรับขนาดภาพที่เหมาะสมด้วยเครื่องมือภายใต้คำสั่ง Image > Image Size ในแถบเมนู แต่ก่อนที่จะเริ่มปรับขนาดภาพ คุณควรทราบก่อนว่าคุณต้องการรูปภาพที่มีขนาดเท่าไร เช่น Width/Height ของรูปภาพ เมื่อคุณปรับขนาดภาพแล้ว คุณอาจสังเกตเห็นว่าความละเอียดของรูปภาพนั้นลดลง ซึ่งหมายความว่าการปรับขนาดภาพมีความเกี่ยวข้องกันกับความละเอียดในรูปภาพ และเมื่อเริ่มพูดถึงความละเอียดของรูปภาพ หลายคนมักเกิดความสับสนในแง่ของความหนาแน่นของพิกเซล ซึ่งใน Photoshop จะแสดงเป็น ppi (พิกเซลต่อนิ้ว)

ความละเอียดของภาพใน Photoshop

วิธีการปรับขนาดรูปภาพด้วยโปรแกรม Photoshop โดยไม่ทำให้ความละเอียดของรูปภาพเสีย

ความจริงแล้วคุณภาพรูปภาพที่สำบูรณ์แบบใน Photoshop นั้นจะขึ้นอยู่กับความละเอียดของภาพที่ต้องมีความสัมพันธ์กับขนาดของภาพ นั่นหมายความว่า ความละเอียดภาพที่สูงจะทำให้รูปภาพมีความคมชัดขึ้น เมื่อขนาดของรูปภาพเพิ่มขึ้น ppi สัมพัทธ์จะลดลง นี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการพิมพ์ โดยที่ ppi จะกำหนดจำนวนจุดที่ใช้หมึกต่อนิ้ว (มักเรียกว่า dpi) 

ยกตัวอย่างเช่น รูปภาพขนาด 1 นิ้วคูณ 1 นิ้วที่มีความละเอียด 100 ppi หากเพิ่มขนาดของรูปภาพนี้เป็น 10 นิ้วคูณ 10 นิ้ว จะทำให้ ppi ลดลงเหลือ 10 หากใช้รูปภาพขนาดนี้ต่อไป รูปภาพจะมีพิกเซลเพียง 10 พิกเซลต่อนิ้ว และจะมีลักษณะเป็นพิกเซลและมีขอบหยัก ที่สำคัญคุณสามารถสร้างภาพให้เล็กลงได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ แต่คุณจะประสบปัญหาเมื่อต้องการทำให้ภาพใหญ่ขึ้น

หากคุณจะส่งภาพไปพิมพ์ เราขอแนะนำให้ใช้ dpi 300 ถึงแม้ว่าจะขึ้นอยู่กับคุณภาพของภาพและขนาดที่คุณจะพิมพ์ แต่รูปภาพ 300dpi เหมาะสำหรับหน้า A4 และคุณสามารถใช้ dpi ที่ต่ำกว่านี้ได้สำหรับป้ายโฆษณา เนื่องจากผู้คนจะดูจากที่ไกลออกไป

สำหรับรูปภาพดิจิทัล ตัวเลขที่สำคัญที่สุดคือจำนวนพิกเซลในภาพมากกว่าความหนาแน่น ไม่ว่าความหนาแน่นของพิกเซลจะเป็นอย่างไรก็ตาม รูปภาพขนาด 500px คูณ 500px จะเป็น 500px คูณ 500px เสมอ

อย่างไรก็ตามคุณจะสังเกตเห็นว่าการเปลี่ยนความสูง ความกว้าง หรือความละเอียดของรูปภาพ จะเป็นการเปลี่ยน 2 ค่าตามสัดส่วน แต่จำนวนพิกเซลทั้งหมดในรูปภาพจะไม่เปลี่ยนแปลง หากคุณจะเตรียมการพิมพ์ ให้ใส่ความละเอียดที่ต้องการลงในช่องตัวเลข ความกว้างและความสูงที่ได้จะแสดงขนาดสูงสุดที่รูปภาพของคุณสามารถใช้ได้

Categories
เทคนิค

การตัดต่อวิดีโอแบบ Match Cut จากภาพช็อตหนึ่งไปยังภาพอีกช็อตหนึ่งอย่างมืออาชีพ 

การตัดต่อวิดีโอแบบ Match Cut จากภาพช็อตหนึ่งไปยังภาพอีกช็อตหนึ่งอย่างมืออาชีพ 

ผู้สร้างภาพยนตร์มืออาชีพหลายคนจะถ่ายวิดีโอทั้งหมดไว้ก่อนแล้วค่อยนำมาทำการตัดต่อวิดีโอในโปรแกรมตัดต่อภายหลัง นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องวางแผนล่วงหน้ามาเป็นอย่างดี เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะได้ฟุตเทจที่จำเป็นทั้งหมดอย่างครบถ้วน ซึ่งในกระบวนการตัดต่อวิดีโอที่ต้องใช้การวางแผนแบบนี้จำเป็นต้องใช้เทคนิคการตัดต่อแบบ Match Cut จากภาพช็อตหนึ่งไปยังภาพอีกช็อตหนึ่ง ซึ่งในบทความนี้เราจะพูดถึงเทคนิคการตัดต่อวิดีโอ Match Cut ที่นักตัดต่อวิดีโอหรือผู้สร้างภาพยนตร์มืออาชีพหลายคนเลือกใช้ 

เทคนิคการตัดต่อวิดีโอแบบ Match Cut

การตัดต่อวิดีโอแบบ Match Cut จากภาพช็อตหนึ่งไปยังภาพอีกช็อตหนึ่งอย่างมืออาชีพ 

Match Cut เป็นการตัดต่อวิดีโอที่จับคู่ฉากจากช็อตหนึ่งไปอีกช็อตหนึ่ง โดยที่องค์ประกอบของฉากเริ่มต้นกับฉากถัดไปนั้นจะต้องเข้ากันได้และมีความต่อเนื่อง สอดคล้องกับตรรกะของการกระทำไม่ว่าจะด้วยภาพหรือเสียง ยกตัวอย่างฉากการต่อสู้ที่ดุเดือดไปจนถึงภาพพระอาทิตย์ตกดินในภาพยนตร์เรื่อง Lawrence of Arabia เป็นการตัดต่อ Match Cut ที่ให้ความรู้สึกลื่นไหลไปกับฉากนั้น
ซึ่งการตัดต่อวิดีโอแบบ Match Cut ไม่จำเป็นต้องเป็นเพียงวิดีโอการเคลื่อนไหวเท่านั้น แต่มันยังสามารถใช้เพื่อแสดงถึงความเปลี่ยนแปลงทางกาลเวลาได้เช่นกัน หรือสามารถใช้เชื่อมต่อรูปร่างที่คล้ายคลึงกันกับองค์ประกอบเฟรมเดียวกันได้ ส่วนในเรื่องของเทคนิคการตัดต่อวิดีโอแบบ Match Cut มีอยู่ 2 แบบ โดยแบบแรกเราเรียกว่า “direct” เป็นการจับคู่ภาพหรือเสียงกับเฟรมถัดไป และสามารถใช้เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่ตรงไปตรงมา ส่วนอีกแบบคือ “expected” เป็นสิ่งที่เราคาดหวังจากฉากที่จะเกิดขึ้นถัดไป ซึ่งทั้ง 2 แบบนี้ส่วนใหญ่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งการจับคู่เสียงและการจับคู่ภาพ

การจับคู่เสียงและการจับคู่ภาพ

หลายคนคงทราบกันดีว่าการตัดต่อวิดีโอมีองค์ประกอบหลัก ๆ ที่สำคัญ คือ เสียงและภาพ สำหรับการตัดต่อแบบ Match Cut เทคนิคการจับคู่เสียงและการจับคู่ภาพถือว่ามีความสำคัญอย่างมากในการทำให้วิดีโอของคุณนั้นสมบูรณ์แบบ

การจับคู่เสียง : แบ่งเป็นเสียงบทสนทนา/พูด และเสียง Sound สำหรับเสียงบทสนทนาจะเกิดขึ้นเมื่อตัวละครหรือผู้บรรยายกำลังพูดและการตัดต่อจะทำระหว่างคำสองคำที่เหมือนกัน โดยตัวละคร A กำลังอ่านโน้ตหรือจดหมายที่เขียนโดยตัวละคร B จากนั้นจะตัดไปเป็นเสียงของตัวละคร B ที่อ่านโน้ตหรือจดหมายเดียวกันโดยเริ่มจากคำหรือประโยคเดียวกัน ส่วนการตัด Match Cut เสียง Sound ะเกี่ยวกับการจับคู่เสียงที่เกิดขึ้นในทั้ง 2 ช็อต หรือที่เรียกว่าสะพานเสียง อาจเป็นเสียงเดียวกันหรือเสียงบางอย่างที่กลมกลืนกับคลิปถัดไปที่คุณกำลังเปลี่ยน

การจับคู่ภาพ : แบ่งเป็นเฟรม/องค์ประกอบ และการกระทำภายในเฟรม การตัดต่อ Match Cut แบบเฟรม/องค์ประกอบต้องใช้รายละเอียดและตำแหน่งของวัตถุในเฟรมให้ตรงกัน ส่วนการตัด Match Cut แบบการกระทำภายในเฟรม คือการตัดต่อการกระทำภายในเฟรมทั้ง 2 เฟรมให้ตรงกันโดยไม่ต้องคำนึงถึงสถานที่หรือเวลาเดียวกัน หรือแม้แต่ในกรอบ/องค์ประกอบเดียวกัน

สนับสนุนโดย: ไฮโลไทย ไฮโลไทยเว็บตรง ฝากถอนไม่มีขั้นต่ำ เล่นง่าย ผ่านมือถือ ตลอด 24 ชม. HILO-88.COM