Categories
กราฟิก

แนะนำฟอนต์ภาษาอังกฤษฟรียอดนิยม แนวกราฟฟิตี้ (Graffiti) ที่แปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร

แนะนำฟอนต์ภาษาอังกฤษฟรียอดนิยม แนวกราฟฟิตี้ (Graffiti) ที่แปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร

เมื่อก่อนรูปแบบฟอนต์ภาษาอังกฤษแนวกราฟฟิตี้ (Graffiti) ฟรี เป็นแบบตัวอักษรที่ค้นหาช่องทางดาวน์โหลดใช้งานที่ยากที่สุดในอินเทอร์เน็ต ซึ่งศิลปะแนวกราฟฟิตี้ (Graffiti) เป็นแรงบันดาลใจของนักออกแบบกราฟิกหลายคนและได้รับการนำเสนอบนสื่อหลากหลายประเภทตั้งแต่การโฆษณาไปจนถึงปกอัลบั้ม ด้วยความที่มันเป็นศิลปะที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร ทำให้ศิลปะแนวกราฟฟิตี้ถูกนำไปใช้สร้างสรรค์ผลงานจำนวนมาก สำหรับใครที่กำลังต้องการฟอนต์ภาษาอังกฤษฟรี แนวกราฟฟิตี้ (Graffiti) เพื่อนำไปใช้สร้างสรรค์ผลงานตนเอง ในบทความนี้เราจึงได้รวบรวมฟอนต์ภาษาอังกฤษฟรียอดนิยม แนวกราฟฟิตี้มากมายให้คุณเลือกสามารถติดตามได้จากข้อมูลด้านล่างเลยค่ะ

5 ฟอนต์ภาษาอังกฤษแนวกราฟฟิตี้ฟรียอดนิยม

ในปัจจุบันคุณสามารถดาวน์โหลดฟอนต์ภาษาอังกฤษแนวกราฟฟิตี้ได้ง่าย ๆ และนี่คือ 5 ฟอนต์ภาษาอังกฤษแนวกราฟฟิตี้ฟรีที่ได้รับความนิยมอย่างมาก

1.Rusto Fat Cap Brush

เริ่มต้นกันที่ฟอนต์ Rusto Fat Cap Brush เป็นรูปแบบอักษรที่ให้ความรู้สึกสนุกสนานและโดดเด่น ซึ่งเหมาะสำหรับผลงานกราฟิกแนววัยรุ่นสมัยใหม่ คุณสามารถดาวน์โหลดฟอนต์ Rusto Fat Cap Brush ได้ด้วยบัญชี DropBox ของคุณ 

แนะนำฟอนต์ภาษาอังกฤษฟรียอดนิยม แนวกราฟฟิตี้ (Graffiti) ที่แปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร

2.Sprite font

รูปแบบอักษรที่ใช้งานได้จริง ให้ความรู้สึกแบบกราฟฟิตี้ในสไตล์การเขียนด้วยแปรงพู่กัน เป็นฟอนต์ภาษาอังกฤษที่เข้าถึงได้ง่าย สำหรับการออกแบบ งานพิมพ์ โลโก้ ผลิตภัณฑ์ และอื่น ๆ คุณสามารถดาวน์โหลดฟอนต์ Sprite ได้โดยคลิกที่นี่

แนะนำฟอนต์ภาษาอังกฤษฟรียอดนิยม แนวกราฟฟิตี้ (Graffiti) ที่แปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร

3.Philly Sans

ฟอนต์ตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ์เล็กและตัวหนักที่ให้ความรู้สึกเหมือนกราฟฟิตี้และอ่านออกง่าย ใช้งานได้หลากหลายอย่างแน่นอน สร้างโดย Philatype เป็นแบบตัวอักษรที่ยอดเยี่ยมสำหรับสร้างงานพิมพ์ คุณสามารถดาวน์โหลดฟอนต์ Philly Sans ได้โดยคลิกที่นี่

แนะนำฟอนต์ภาษาอังกฤษฟรียอดนิยม แนวกราฟฟิตี้ (Graffiti) ที่แปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร

4.The Graffiti Font

ฟอนต์ตัวอักษรภาษาอังกฤษที่อัดแน่นไปด้วยสีสัน สร้างโดยนักออกแบบกราฟิก Mike Karolos เป็นฟอนต์ตัวอักษรที่ฟรีทั้งหมด แต่มันจะใช้ได้เฉพาะในรูปแบบ png เท่านั้น คุณสามารถดาวน์โหลดฟอนต์ The Graffiti Font ได้ด้วยบัญชี DropBox ของคุณ 

แนะนำฟอนต์ภาษาอังกฤษฟรียอดนิยม แนวกราฟฟิตี้ (Graffiti) ที่แปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร

5.Thickedy Grunge

นี่คือแบบตัวอักษรที่ยอดเยี่ยมอีกตัวหนึ่งที่มีลักษณะตรงตามชื่อของมันเลย สร้างโดยสตูดิโอออกแบบของ Bath Checkered Ink คุณสามารถใช้งานได้ฟรีแค่กับผลงานส่วนตัวเท่านั้น แต่ถ้าหากคุณต้องการใช้ในเชิงพาณิชย์ คุณจะต้องซื้อใบอนุญาตเสียก่อน คุณสามารถดาวน์โหลดฟอนต์ Thickedy Grunge ได้โดยคลิกที่นี่

แนะนำฟอนต์ภาษาอังกฤษฟรียอดนิยม แนวกราฟฟิตี้ (Graffiti) ที่แปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร

ศิลปะแนวกราฟฟิตี้

อย่างไรก็ตาม ฟอนต์ภาษาอังกฤษแนวกราฟฟิตี้ (Graffiti) เป็นศิลป์ที่เน้นการเขียนลายเซ็นแนวเท่ ๆ และแปลกใหม่โดยใช้สีสเปรย์ ปากกา หรืออุปกรณ์ที่ทำให้เกิดสี เมื่อก่อนเราจะเห็นผลงานแนวกราฟฟิตี้ตามกำแพง ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากพวกฮิปฮอปในอเมริกา โดยในช่วงเริ่มต้นกราฟฟิตี้มีความเกี่ยวข้องกับคำหยาบคายและพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม แต่เมื่อเวลาผ่านไป กราฟฟิตี้ได้พัฒนามาเป็นศิลปะที่สร้างสรรค์และมีชีวิตชีวา ทำให้เกิดปรากฏการณ์สตรีทอาร์ตที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหลาย ๆ พื้นที่และที่สำคัญตอนนี้ศิลปะแนวกราฟฟิตี้ได้ถูกนำมาใช้กับผลงานกราฟิกบนสื่อสิ่งพิมพ์มากขึ้น

ผู้สนับสนุน: แทงไฮโลไทย HILO-88 เว็บตรงไม่ผ่านเอเย่นต์

Categories
กราฟิก

แนะนำ 4 เครื่องมือออนไลน์ฟรีสำหรับการออกแบบกราฟิกระดับมืออาชีพ

ในปัจจุบันมีเครื่องมือออนไลน์สำหรับการออกแบบกราฟิกที่สามารถใช้งานได้ฟรีมากมาย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีอย่างมากเพราะมันทำให้ทุกคนสามารถออกแบบกราฟิกได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย อีกทั้งเครื่องมือออนไลน์ฟรีเหล่านี้ยังเป็นอีกหนึ่งทรัพย์สินที่สำคัญในการสร้างกราฟิกที่ดีให้กับเว็บไซต์ของคุณหรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าทางการตลาดให้กับผลงานของคุณได้ ที่สำคัญคุณยังสามารถเข้าถึงเครื่องมือออนไลน์ฟรีได้อย่างง่ายดายและสร้างผลงานกราฟิกที่มีคุณภาพได้อย่างที่คุณต้องการ ดังนั้นในบทความนี้เราจึงได้รวบรวม 4 เครื่องมือออนไลน์ฟรี ที่จะช่วยให้คุณสร้างสรรค์ผลงานกราฟิกได้อย่างยอดเยี่ยม

แนะนำ 4 เครื่องมือออนไลน์ฟรีสำหรับการออกแบบกราฟิกระดับมืออาชีพ

4 เครื่องมือออนไลน์ฟรีสำหรับการออกแบบกราฟิก ใช้งานง่าย

1.Crello

เริ่มต้นกันที่เครื่องมือออนไลน์ฟรีสำหรับการออกแบบกราฟิกที่ดีที่สุดอย่าง Crello แพลตฟอร์มนี้มีตัวเลือกมากมายให้เลือกและสามารถใช้เป็นเครื่องมือมัลติฟังก์ชันได้ อีกทั้งยังมีข้อดีอีกมากมายที่ทำให้แพลตฟอร์มนี้มีความได้เปรียบเหนือแพลตฟอร์มอื่น ๆ นอกจากนี้ยังเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ใช้ออกแบบกราฟิกที่ง่ายที่สุด และมีตัวเลือกให้ดาวน์โหลดได้หลายรูปแบบทั้ง JPEG, PNG และ PDF 

2.Canva

นี่น่าจะเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับการออกแบบกราฟิกที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ซึ่ง Canva เวอร์ชันที่ให้ใช้งานฟรีนั้นมีให้คุณเลือกใช้งานได้หลายรูปแบบ เช่น โพสต์บนโซเชียลมีเดีย โฆษณาออนไลน์ ใบปลิว โปสเตอร์ ฯลฯ ยิ่งกว่านั้นเพื่อสร้างการออกแบบที่เป็นต้นฉบับตั้งแต่เริ่มต้น แพลตฟอร์มนี้ยังมีตัวเลือกรูปภาพ พื้นหลัง และคุณสมบัติอื่น ๆ มากมาย แต่ก็ยังมีคุณสมบัติบางประการที่ต้องชำระเงิน เพื่อให้สามารถนำมาใช้งานได้

3.Snappa

Snappa แพลตฟอร์มออนไลน์ฟรีที่มุ่งไปที่การออกแบบสื่อเพื่อเผยแพร่ออนไลน์ไม่ว่าจะเป็นโพสต์และหน้าปกสำหรับเครือข่ายสังคมออนไลน์ แบนเนอร์ และโฆษณา มันช่วยให้คุณสร้างชิ้นงานตั้งแต่เริ่มต้นด้วยมาตรการที่คุณต้องการได้ คุณจึงสามารถทำงานอะไรก็ได้ ด้วยเครื่องมือต่าง ๆ ที่ทันสมัย และอำนวยความสะดวกในการสร้างด้วยบรรทัดเสริมที่ทำเครื่องหมายบนพื้นที่การทำงาน แต่จุดอ่อนของเวอร์ชันฟรีคือคุณสามารถดาวน์โหลดผลงานของคุณได้เพียง 5 ครั้ง/เดือน

4.Visme

Visme แพลตฟอร์มออนไลน์ฟรีที่ช่วยให้คุณสามารถสร้างสื่อสำหรับเครือข่ายสังคม แบนเนอร์ และอินโฟกราฟิก โดยมีกระบวนการสร้างที่ง่ายดาย ด้วยแผงเครื่องมือที่ยอดเยี่ยม และแยกองค์ประกอบทั้งหมดในพื้นที่ทำงาน เช่นเดียวกับแพลตฟอร์มอื่น ๆ รูปภาพ ไอคอน และพื้นหลังบางส่วนพร้อมให้เริ่มต้นการทดลองใช้ นั่นหมายความว่าเวอร์ชันฟรีมีข้อจำกัดบางประการ คือสามารถทำได้เพียง 3 โปรเจกต์และดาวน์โหลดในรูปแบบ JPEG เท่านั้น

แนะนำ 4 เครื่องมือออนไลน์ฟรีสำหรับการออกแบบกราฟิกระดับมืออาชีพ

บทสรุป

อย่างไรก็ตาม คุณควรทราบว่าเครื่องมือออนไลน์ฟรี สำหรับการออกแบบกราฟิกเหล่านี้มีเป็นแอปพลิเคชันที่จำกัด โดยส่วนใหญ่จะใช้ในเวอร์ชันฟรีได้แค่เพียงเครื่องมือขั้นพื้นฐานเท่านั้น แต่ก็มีประโยชน์สำหรับงานทั่วไปและงานเล็ก ๆ เช่น การสร้างโพสต์หรือหน้าปกสำหรับสื่อสังคมออนไลน์ของคุณ หรือกราฟิกภาพประกอบบทความในบล็อก สำหรับผู้ที่มองหาเครื่องมือที่ใกล้เคียงกับแอปพลิเคชันระดับมืออาชีพเราขอแนะนำ Crello เพราะมันมีชุดอุปกรณ์ที่ช่วยให้ผู้ใช้กำหนดรูปแบบงานได้มากขึ้นตามเกณฑ์ของโปรแกรม

Categories
กราฟิก

เทคนิคการวาดการ์ตูนแบบฉบับมังงะง่าย ๆ ด้วยโปรแกรมวาดภาพ Clip Studio Paint

เทคนิคการวาดการ์ตูนแบบฉบับมังงะง่าย ๆ ด้วยโปรแกรมวาดภาพ Clip Studio Paint

นักวาดการ์ตูนหลายคนคงทราบกันดีว่าการเรียนรู้วิธีการวาดการ์ตูนไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลาที่ศิลปินจ้องไปที่กระดาษที่ว่างเปล่าที่ไร้ไอเดียในหัว อย่างไรก็ตาม ศิลปินจะรู้สึกตื่นเต้นเสมอเมื่อมีไอเดียสำหรับการวาดภาพใหม่ ๆ แต่สำหรับนักวาดการ์ตูนมือใหม่อาจจะมีความกลัวและความสงสัยในตัวเองอยู่บ้างว่าจะเริ่มต้นวาดตรงไหน นอกจากจะไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหนแล้ว พวกเขาก็มักจะตั้งคำถามกับตัวเองเสมอว่า ภาพวาดของฉันดูดีหรือไม่? ฉันสามารถเพิ่มอะไรได้อีก? ฉันเพิ่มมากเกินไปหรือไม่? โชคดีที่ในบทความนี้เราจะพูดเทคนิคการวาดการ์ตูนแบบฉบับมังงะง่าย ๆ จากคำแนะนำของนักวาดการ์ตูนระดับมืออาชีพ ซึ่งเหมาะสำหรับนักวาดการ์ตูนมือใหม่มาก ๆ เลยค่ะ

เทคนิคการวาดการ์ตูนแบบฉบับมังงะ ด้วยโปรแกรมวาดภาพ Clip Studio Paint

สำหรับนักวาดการ์ตูนมือใหม่นี่คือเทคนิคการวาดการ์ตูนแบบฉบับมังงะ ด้วยโปรแกรมวาดภาพ Clip Studio Paint โดยเราได้เลือกเทคนิคบางส่วนมาจากคำแนะนำของนักวาดการ์ตูนระดับมืออาชีพ Asia Ladowska ที่ได้แบ่งปันกระบวนการทางศิลปะของเธอพร้อมกับเคล็ดลับในการวาดการ์ตูนไว้ในบล็อกออนไลน์ เธอเลือกใช้โปรแกรมวาดภาพ Clip Studio Paint สำหรับการวาดการ์ตูนแบบฉบับมังงะ ซึ่งมันเหมาะสำหรับการสเก็ตช์ ภาพลายเส้น แม้กระทั่งการแรเงา และข้อมูลด้านล่างนี้คือขั้นตอนการวาดการ์ตูนแบบมังงะของ Ladowska

ขั้นตอนการวาดการ์ตูนแบบฉบับมังงะ

1.การเลือกมุมที่น่าสนใจ

เริ่มต้นการวาดการ์ตูนแบบฉบับมังงะ หรือวาดการ์ตูนอนิเมะด้วยการหามุมวาดภาพพอร์ตเทรต นั่นคือ มุมมองด้านหน้ามันต้องสมมาตร ความสมดุล และสัดส่วนที่วัดมาอย่างดี หากคุณเลือกมุมไดนามิกมากกว่าเล็กน้อย แสดงว่าคุณเริ่มต้นได้ดี!

เทคนิคการวาดการ์ตูนแบบฉบับมังงะง่าย ๆ ด้วยโปรแกรมวาดภาพ Clip Studio Paint

2.การร่างภาพสเก็ตช์

คุณสามารถร่างภาพสเก็ตช์ในโปรแกรมวาดภาพ Clip Studio Paint โดยใช้แปรงเริ่มต้นของซอฟต์แวร์เป็นหลัก แต่ปรับการตั้งค่าเล็กน้อย สำหรับดินสอสีเข้มให้เลือก Stabilization ประมาณ 15 เสมอ

3.การระบายสีภาพร่าง

Ladowska มักจะเพิ่มสีสันให้กับภาพร่างเพื่อเน้นเส้นของตัวละครออกมา การระบายสีช่วยให้คุณมองเห็นภาพตัวละครที่เป็นรูปร่าง สำหรับเส้นของภาพสเก็ตช์นี้ เธอใช้สีน้ำเงินเข้มมากกว่าสีดำ และเมื่อเปลี่ยนโหมดเลเยอร์เป็น Color Burn ก็ได้ผลลัพธ์เป็นเฉดสีที่สวยงาม 

4.ประหยัดเวลาโดยใช้เครื่องมือ Smart Bucket

เครื่องมือ Smart Bucket มันดีมากในการจดจำภาพลายเส้น เพียงแค่คลิกเดียวก็สามารถกรอกข้อมูลในส่วนต่าง ๆ ได้เกือบทั้งหมด หากคุณปรับการตั้งค่ามันจะสามารถระบุเส้นที่มีช่องว่างในนั้น หรือแม้แต่เส้นที่มีพื้นผิว เพื่อให้แน่ใจว่าได้เลือกพิกเซลทั้งหมดในตัวละครแล้ว คุณสามารถระบายสีพื้นหลังก่อนได้ในเลเยอร์ที่แยกจากกัน จากนั้นก็ปิดการวาดเส้นแล้วระบายสีกลับอีกชั้นหนึ่ง

เทคนิคการวาดการ์ตูนแบบฉบับมังงะง่าย ๆ ด้วยโปรแกรมวาดภาพ Clip Studio Paint

5.ใช้บรัชแทนพู่กันแบบนุ่ม

ภาพวาดที่ดีมีทั้งเงาอ่อนและเงาหนา แต่ถ้าคุณไม่แน่ใจว่าควรไปทางไหน ควรเลือกขอบหนา เพราะจะทำให้ภาพวาดดูดีมากขึ้นด้วยการแรเงาเซลล์แบนมากกว่าการแรเงาด้วยพู่กัน หรือใช้บรัชก่อนเสมอ จากนั้นจึงค่อยเกลี่ยขอบโดยใช้พู่กันแบบนุ่มถ้าจำเป็น ในขั้นตอนนี้ Ladowska จะเพิ่มการแรเงาให้กับเลเยอร์สีทั้งหมด เพื่อเพิ่มความลึกให้กับตัวละครและทำให้มันดูน่าสนใจยิ่งขึ้น

สนับสนุนโดย: ไฮโลไทย เว็บตรง แทงไฮโลพื้นบ้านได้แล้วที่ HILO-88.COM

Categories
กราฟิก

แนะนำ 3 โปรแกรมกราฟิกสำหรับการสร้างสรรค์ผลงานภาพเวกเตอร์

คุณรู้หรือไม่? ว่าคุณสามารถสร้างสรรค์ผลงานกราฟิกแบบภาพเวกเตอร์ได้ง่าย ๆ ด้วยโปรแกรมกราฟิกที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งภาพเวกเตอร์เป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นด้วยส่วนประกอบของเส้นลักษณะต่าง ๆ และสีของเส้นนั้น ๆ ในปัจจุบันงานศิลปะเวกเตอร์ถูกใช้ในแอปพลิเคชันดิจิทัลจำนวนมาก เนื่องจากภาพเวกเตอร์ใช้จุด เส้นโค้ง และเส้นที่มีสมการทางคณิตศาสตร์ในตัว ช่วยให้แต่ละองค์ประกอบสามารถปรับขนาดเป็นขนาดใดก็ได้ตามสัดส่วนและเป็นธรรมชาติ โดยไม่สูญเสียคุณภาพของภาพ ด้วยเหตุนี้กราฟิกแบบเวกเตอร์จึงนิยมนำมาใช้ในการออกแบบกราฟิกสำหรับโลโก้ เสื้อยืด และสถานการณ์อื่น ๆ ที่ต้องใช้รูปภาพในขนาดต่าง ๆ

หลายคนมักสับสนระหว่างภาพเวกเตอร์กับภาพแรสเตอร์ ซึ่งภาพแรสเตอร์ประกอบด้วยพิกเซล และเมื่อขยายภาพมักจะเอียงและบิดเบี้ยว เมื่อใช้โปรแกรมกราฟิกไฟล์ภาพเวกเตอร์จะสามารถแปลงเป็นไฟล์แรสเตอร์ได้ เช่น ไฟล์ประเภท .JPG, .PNG, .TIFF หรือ .GIF และกราฟิกแรสเตอร์สามารถแปลงเป็นรูปแบบไฟล์เวกเตอร์ได้ (.AI, .EPS หรือ ประเภทไฟล์ .SVG) สำหรับโปรแกรมกราฟิกนั้นมีหลากหลายโปรแกรมที่สามารถใช้สร้างสรรค์ผลงานกราฟิกแบบเวกเตอร์ ซึ่งบทความนี้จะพาคุณไปพบกับ 3 โปรแกรมกราฟิกที่สามารถใช้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะเวกเตอร์ได้ง่าย ๆ 

แนะนำ 3 โปรแกรมกราฟิกสำหรับการสร้างสรรค์ผลงานภาพเวกเตอร์

แนะนำ 3 โปรแกรมกราฟิกเพื่อใช้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะเวกเตอร์

ในปัจจุบันโปรแกรมกราฟิก ถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับการออกแบบภาพเวกเตอร์ ซึ่งจากข้อมูลข้างต้นคุณจะเห็นได้ว่าศิลปะเวกเตอร์มักถูกนำไปใช้ในการออกแบบโลโก้ เสื้อยืด และรูปภาพในขนาดต่าง ๆ ซึ่งการออกแบบเหล่านี้สามารถสร้างขึ้นได้ง่าย ๆ ด้วย 3 โปรแกรมกราฟิกที่เรานำมาแนะนำ ดังนี้

1.Adobe Illustrator

โปรแกรมที่สร้างขึ้นเพื่อใช้สร้างสรรค์ผลงานการออกแบบด้านกราฟิก และงานกราฟิกแบบเวกเตอร์โดยเฉพาะ ส่วนนามสกุลของไฟล์ Vector ที่เห็นได้บ่อย ๆ คือไฟล์ PDF ไฟล์ EPS ไฟล์ SVG และไฟล์ AI เป็นต้น นอกจากนี้คุณสามารถส่งออกภาพเวกเตอร์ของคุณไปยังโปรแกรม Photoshop หรือ InDesign ได้ง่าย ๆ

แนะนำ 3 โปรแกรมกราฟิกสำหรับการสร้างสรรค์ผลงานภาพเวกเตอร์

2.Inkscape

โปรแกรมวาดภาพกราฟิกเวกเตอร์ โปรแกรมที่มีคุณสมบัติในการสร้างรูปร่างและแก้ไขกราฟิก SVG ซึ่งทำให้คุณปรับขนาดของภาพได้โดยไม่สูญเสียคุณภาพของภาพ

แนะนำ 3 โปรแกรมกราฟิกสำหรับการสร้างสรรค์ผลงานภาพเวกเตอร์

3.CorelDRAW

โปรแกรมสร้างและแก้ไขภาพกราฟิกส์เวกเตอร์ ใช้ในการวาดภาพ ปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างมากในการสร้างสื่อโฆษณา เนื่องจากเป็นอีกหนึ่งโปรแกรมที่มีประสิทธิภาพสูง และส่วนใหญ่จะทำงานกับไฟล์รูปภาพเวกเตอร์ ที่จัดเก็บข้อมูลรูปภาพในแบบ 2 มิติ (2D) มากกว่า 3 มิติ (3D) ซึ่งจะใช้นามสกุลของไฟล์ว่า CDR

แนะนำ 3 โปรแกรมกราฟิกสำหรับการสร้างสรรค์ผลงานภาพเวกเตอร์

บทสรุป

จากข้อมูลข้างต้นหลายคนคงทราบกันดีว่าโปรแกรมกราฟิกที่สามารถใช้สร้างสรรค์ผลงานกราฟิกแบบเวกเตอร์นั้นมีหลายหลากโปรแกรม แต่เราเลือกมาแนะนำเพียงแค่ 3 โปรแกรมตัดต่อยอดนิยมเท่านั้น ซึ่งแต่ละโปรแกรมต่างก็มีคุณสมบัติที่โดดเด่นในการสร้างสรรค์ผลงานภาพเวกเตอร์ ซึ่งแน่นอนว่าก่อนที่คุณจะเริ่มต้นใช้งานควรเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้งานโปรแกรมนั้น ๆ ก่อน เพื่อการสร้างสรรค์ผลงานที่โดดเด่น และรวดเร็ว นอกจากนี้ด้วยความที่ภาพเวกเตอร์มีความสามารถปรับขนาดภาพได้โดยไม่สูญเสียคุณภาพของภาพ จึงทำให้มันถูกนำไปใช้ประโยชน์ในงานด้านการออกแบบมากมาย เช่น การออกแบบโลโก้ เสื้อผ้า ป้ายโฆษณาหรือโปสเตอร์ และวิชาการพิมพ์

ผู้สนับสนุน: ไทยไฮโล

Categories
มือใหม่

วิธีใช้แอป Filmic Pro ขั้นพื้นฐานสำหรับการตัดต่อวิดีโอด้วยตัวเอง

เมื่อก่อนแอปตัดต่อวิดีโอส่วนใหญ่มักมีราคาที่ค่อนข้างแพง บางแอปราคาไม่คุ้มกับคุณสมบัติการใช้งาน แต่ทุกวันนี้มีแอปตัดต่อวิดีโอมากมายที่ช่วยให้คุณสามารถตัดต่อวิดีโอได้อย่างมืออาชีพ แถมยังราคาถูกคุ้มค่ากับการใช้งานอย่างแอป Filmic Pro แอปพลิเคชันสำหรับสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการ iOS เท่านั้น ซึ่ง Filmic Pro เป็นแอปถ่ายและปรับแต่งวิดีโอบนสมาร์ตโฟนที่ทันสมัยและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากแอปนี้ได้ถูกนำไปใช้ในการถ่ายทำมิวสิควิดีโอเพลง Stupid Love ของ Lady Gaga และเพลง Lose You to Love Me ของ Selena Gomez ซึ่งทั้ง 2 คนเป็นศิลปินระดับโลก นั่นจึงหมายความว่าไม่ว่าคุณจะเป็นนักตัดต่อระดับมืออาชีพหรือนักตัดต่อระดับมือสมัครเล่นก็สามารถใช้แอป Filmic Pro ตัดต่อวิดีโอได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในบทความนี้เราจะพูดถึงวิธีใช้แอป Filmic Pro ขั้นพื้นฐานสำหรับการตัดต่อวิดีโอด้วยตัวเอง 

วิธีใช้แอป Filmic Pro ขั้นพื้นฐานสำหรับการตัดต่อวิดีโอด้วยตัวเอง

แอป Filmic Pro สำหรับการตัดต่อวิดีโอระดับมืออาชีพ

แอป Filmic Pro เป็นแอปพลิเคชันสร้างและตัดต่อวิดีโอที่ใช้งานได้บนสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการ iOS เท่านั้น และตัวแอปมีราคาอยู่ที่ 449 บาท ซึ่งคุณสามารถดาวน์โหลดแอปได้ทาง App Store หลังคุณทำการติดตั้งแอปบน iPhone ของคุณเรียบร้อยแล้ว ต่อมาเรามาเรียนรู้วิธีใช้แอป Filmic Pro ขั้นพื้นฐานสำหรับการตัดต่อวิดีโออย่างมืออาชีพ โดยวิธีใช้แอปมีทั้งหมดดังนี้

วิธีใช้แอป Filmic Pro ขั้นพื้นฐาน

1.ส่วนควบคุมพื้นฐานของแอป

เปิดแอป Filmic Pro ในแนวนอน เพราะจะทำให้คุณสามารถดูส่วนควบคุมทั้งหมดได้อย่างถูกต้อง สิ่งแรกที่ควรสังเกตคือวงกลมสีขาวบนหน้าจอ มันคือตัวควบคุมการรับแสง และสี่เหลี่ยมสีขาวคือตัวควบคุมโฟกัส คุณสามารถย้ายสิ่งเหล่านี้ไปรอบ ๆ หน้าจอของคุณจนกว่าคุณจะพอใจกับตำแหน่งได้ ด้วยความที่วงกลมและสี่เหลี่ยมจัตุรัสเป็นสีขาว แอปจึงตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในฉาก ดังนั้นหากมีสิ่งใดเข้ามาในช็อต แอปจะเปลี่ยนโฟกัสไปที่จุดนั้น หากคุณต้องการตั้งค่าเหล่านี้ใหม่เพื่อให้การเปิดรับแสงและโฟกัสคงที่ เพียงแตะวงกลมหรือสี่เหลี่ยม มันก็จะเปลี่ยนเป็นสีแดงซึ่งหมายความว่ามันถูกล็อค และแตะอีกครั้งหากต้องการปลดล็อก

วิธีใช้แอป Filmic Pro ขั้นพื้นฐานสำหรับการตัดต่อวิดีโอด้วยตัวเอง

2.การเลือกเลนส์กล้องของคุณ 

คุณสามารถเลือกเลนส์กล้องของคุณได้ โดยคลิกไปที่ไอคอนรูปกรวยเล็ก ๆ ที่ด้านล่างขวาของหน้าจอ คุณก็จะสามารถเลือกเลนส์อัลตร้าไวด์ เลนส์ไวด์ เลนส์เทเล หรือเปลี่ยนเป็นโหมดเซลฟี่ได้

3.การตั้งค่าสมดุลแสงขาว

หากต้องการตั้งค่าสมดุลแสงขาวในฉากของคุณ ให้แตะวงกลม 3 วงที่ซ้อนทับกันที่ด้านล่างซ้ายของหน้าจอ จากนั้นป๊อปอัปจะปรากฏบนหน้าจอ ซึ่งคุณสามารถเลื่อนไปบริเวณรอบ ๆ เพื่อปรับสมดุลแสงขาวของอุณหภูมิและโทนสีได้ หาก AWB ที่ด้านล่างขวาของหน้าจอเป็นสีน้ำเงิน แสดงว่าเลือกสมดุลแสงขาวอัตโนมัติ แต่หากคุณแตะ มันจะเปลี่ยนเป็นสีแดงแสดงว่าล็อค และหากต้องการออกจากป๊อปอัป ให้แตะพื้นที่ด้านนอกป๊อปอัป

วิธีใช้แอป Filmic Pro ขั้นพื้นฐานสำหรับการตัดต่อวิดีโอด้วยตัวเอง

4.บันทึกและดูคลิปของคุณ

เริ่มบันทึกวิดีโอ โดยแตะวงกลมสีขาวที่ด้านขวาของหน้าจอ และในขณะที่คุณกำลังบันทึก คุณยังสามารถปรับการตั้งค่าที่ระบุไว้ด้านบนได้ตามต้องการ นอกจากนี้คุณยังสามารถคลิกปุ่มสีขาวที่มุมซ้ายของหน้าจอเพื่อปรับการควบคุมด้วยตนเอง โดยการปรับวงล้อเพื่อเล่นกับโฟกัสและการเปิดรับแสง หากต้องการดูคลิปของคุณ ให้แตะปุ่มเล่น ซึ่งมันจะเปิดคลังคลิปของคุณขึ้นมา แตะช่องที่มีเครื่องหมายเพื่อเลือกมากกว่าหนึ่งคลิป และแตะปุ่มฟิล์มเพื่อบันทึกลงในม้วนฟิล์ม 

Categories
มือใหม่

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับถ่ายภาพ HDR ที่ช่างภาพมือใหม่ไม่ควรพลาด

คุณทราบหรือไม่? ว่าการตั้งค่ากล้องถ่ายรูป มีหลากหลายโหมดให้คุณได้เลือกปรับใช้งาน แต่มีอีกหนึ่งโหมดที่น่าสนใจที่ช่างภาพทุกคนไม่ควรมองข้าม นั่นคือ โหมด HDR เป็นโหมดที่ช่วยดึงเอาเงาที่ลึกที่สุดและไฮไลท์ที่สว่างที่สุดของฉากในรูปภาพออกมา โหมดนี้มีประโยชน์สำหรับการภาพถ่ายสถานที่กลางแจ้งต่าง ๆ เช่น รูปภาพวิวทิวทัศน์ แต่ภาพถ่าย HDR ก็มักมีปัญหาเกี่ยวกับการจัดการองค์ประกอบของรูปภาพ ซึ่งบทความนี้จะพาคุณทำความรู้จักกับภาพถ่าย HDR และปัญหาที่คุณอาจเจอเมื่อเริ่มต้นใช้งานโหมด HDR

ภาพถ่าย HDR คืออะไร?

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับถ่ายภาพ HDR ที่ช่างภาพมือใหม่ไม่ควรพลาด

หลายคนคงกำลังสงสัยว่าภาพถ่าย HDR คืออะไร? ซึ่งโดยปกติแล้วสายตาของมนุษย์สามารถมองเห็นแสงได้ประมาณ 11 สต็อป แต่กล้องถ่ายรูปจะทำให้คุณสามารถเห็นแสงได้ประมาณ 3 สต็อป ซึ่งหมายความว่า คุณจะต้องตั้งค่ากล้องเพื่อถ่ายภาพหลาย ๆ ภาพในฉากเดียว หากคุณเลือกใช้ซอฟต์แวร์ HDR (High Dynamic Range) คุณจะเห็นแสงได้อย่างชัดเจนทั่วทั้งภาพถ่าย ทำให้ภาพถ่ายของคุณดูมีมิติมากยิ่งขึ้น ปกติแล้วในการถ่ายภาพมันจะมีช่วงความแตกต่างของภาพอยู่ 2 ช่วงนั่นคือช่วงมืดและช่วงสว่าง HDR ถือเป็นวิธีการรวมภาพตั้งแต่ 3 ภาพขึ้นเข้าด้วยกัน เพื่อปรับสมดุลของภาพให้ดูเด่นชัดขึ้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความละเอียด และความเด่นชัดของภาพให้สูงขึ้น นอกจากนี้กล้องถ่ายรูปส่วนใหญ่มักมีคุณสมบัติ HDR เฉพาะที่ให้คุณปรับการตั้งค่าได้อย่างอิสระ

การสร้างภาพถ่าย HDR ให้คุณลองพิจารณาไปที่การตั้งค่าของกล้องถ่ายรูป แล้วเลือกโหมด Bracketing หรือ BKT โหมดนี้จะทำให้กล้องถ่ายภาพต่อเนื่องที่มีค่าแสงต่างกันให้โดยคุณต้องตั้งค่าเป็น 2 EV, 0 EV และ +2 EV และกล้องส่วนใหญ่ในยุคนี้ก็สามารถรวมภาพทำ HDR ได้อย่างอัตโนมัติ แต่ก็ยังไม่เนียนเท่ากับการทำด้วยโปรแกรมอย่างเช่น โปรแกรม Lightroom 

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับถ่ายภาพ HDR ที่ช่างภาพมือใหม่ไม่ควรพลาด

ภาพของฉากเดียวกันที่ถ่ายด้วยการเปิดรับแสงที่แตกต่างกันจะเห็นได้ว่าทั้ง 3 ภาพมีความคล้ายคลึงกันมาก แต่ภาพที่ 2 ที่เป็นการ ตั้งค่า 2 EV, 0 EV และ +2 EV ซึ่งเป็นภาพ HDR จะแสดงคอนทราสต์น้อยกว่าเล็กน้อย และมีรายละเอียดมากขึ้นในเงามืด ทำให้สีของภาพถ่ายดูสดใสและอิ่มตัวมากขึ้น

ปัญหาที่คุณอาจเจอเมื่อถ่ายภาพ HDR

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับถ่ายภาพ HDR ที่ช่างภาพมือใหม่ไม่ควรพลาด

การสร้างภาพถ่าย HDR ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ช่างภาพ แต่บางครั้งภาพ HDR ในอินเทอร์เน็ตก็เต็มไปด้วยความเกินจริง และดูเหมือนว่าปัญหาจะเกิดจากการประมวลผลภาพ HDR แบบอัตโนมัติที่มากเกินไป ซึ่งความจริงแล้วโหมด HDR เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่มีเป้าหมาย คือการขยายช่วงไดนามิกของรูปภาพของคุณ รูปภาพ HDR ที่ดีนั้นต้องมีความละเอียดอ่อนและดูเป็นธรรมชาติ และคุณไม่จำเป็นต้องลบคอนทราสต์ของภาพออกเพราะว่ามันทำให้ทุกอย่างในภาพถ่ายดูมีความเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น

Categories
เทคนิค

5 เทคนิคการแต่งรูประดับมืออาชีพด้วยโปรแกรม Photoshop

ในยุคดิจิทัล คนที่ทำงานเป็นช่างภาพคงจะคุ้นเคยและมีความรู้เกี่ยวกับการแต่งรูปด้วยโปรแกรม Photoshop และเราเชื่อว่าโปรแกรมนี้เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่หลายคนเลือกให้เพื่อทำการแก้ไขรูปภาพ ซึ่งบางคนอาจมีคำถามมากมายเกี่ยวกับการใช้งานโปรแกรม Photoshop เนื่องจากโปรแกรมนี้ค่อนข้างมีความซับซ้อน บางครั้งเราจะเห็นว่าช่างภาพระดับมืออาชีพหลายคนยังคงต้องเรียนรู้เกี่ยวกับเทคนิคการแต่งรูปด้วยโปรแกรม Photoshop ซึ่งบทความนี้ได้รวบรวม 5 เทคนิคแต่งรูปด้วยโปรแกรม Photoshop เพื่อทำให้รูปภาพของคุณดูสวยสมบูรณ์แบบตามความต้องการ ส่วนจะมีเทคนิคอะไรบ้างนั้น มาติดตามกันเลยค่ะ

5 เทคนิคการแต่งรูประดับมืออาชีพด้วยโปรแกรม Photoshop

5 เทคนิคการแต่งรูปง่าย ๆ ด้วยโปรแกรม Photoshop

เมื่อเราใช้กล้องถ่ายภาพ เราจะสังเกตได้ว่าภาพบางภาพอาจจะยังไม่สมบูรณ์แบบตามความต้องการ ซึ่งช่างภาพส่วนใหญ่แก้ไขปัญหานี้ด้วยวิธีการแต่งรูป บนโปรแกรมแต่งรูปที่ในปัจจุบันที่ให้เลือกใช้งานหลากหลายโปรแกรม ซึ่งวันนี้เราเลือกโปรแกรม Photoshop พร้อมกับ 5 เทคนิคการแต่งรูปง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็ทำได้มาฝากทุกคน 

Photoshop มีความสามารถหลากหลายในการจัดการไฟล์ข้อมูลรูปภาพและความสามารถในการตกแต่งภาพที่หลากหลาย เช่น ลบรอยแตกของภาพ เพิ่มสีและแสง นอกจากนี้ยังสามารถใช้ในการตัดต่อภาพ และการซ้อนฉากหลังเข้ากับภาพ และนี่คือ 5 เทคนิคการแต่งรูปง่าย ๆ ด้วยโปรแกรม Photoshop

1.การแก้ไขรูปภาพแบนราบใน Raw

เมื่อเปิดภาพใน Camera Raw สิ่งแรกที่ต้องทำคือการปรับอุณหภูมิสีหรือค่าแสง โดยการตั้งค่าตัวเลื่อนไฮไลท์ระหว่าง -30 ถึง -80 จากนั้นตั้งค่าแถบเลื่อนเงาระหว่าง +30 ถึง +80 ซึ่งการตั้งค่านี้จะทำให้ภาพมีคอนทราสต์ในปริมาณที่เหมาะสมเป็นธรรมชาติมากมากขึ้น

2.การใช้แปรงแก้ไขรูปภาพ

การใช้เครื่องมือแปลงจะช่วยให้คุณแก้ไขรูปภาพเฉพาะจุดได้ดีขึ้น ส่วนใหญ่ช่างภาพมักใช้แปรงเพื่อลบสิว และสิ่งที่ไม่ต้องการบนผิวหนัง หรือสิ่งที่รบกวนบนพื้นหลัง 

3.การใช้ Clone Stamp Set เพื่อทำให้รูปภาพสีจางลงหรือเข้มขึ้น

Clone Stamp Set จะทำให้รูปภาพสว่างขึ้น ซึ่งนิยมใช้ที่ระดับความทึบประมาณ 15% เทคนิคนี้มักใช้กับภาพที่มีแสงธรรมชาติ เนื่องจากภาพเหล่านี้มักไม่มีรายละเอียดมากนัก 

4.การเปิดใช้เลเยอร์ Black and White เพื่อปรับแต่งสีของรูปภาพ

การเปิดใช้เลเยอร์ Black and White จะช่วยทำให้คุณสามารถควบคุมความสว่างของแต่ละสีได้ด้วยแถบเลื่อนบนเลเยอร์ Black and White โดยการปรับสีแดงและสีเหลืองได้ตามที่คุณต้องการ ซึ่งการปรับแต่งสีนี้จะทำให้คุณได้สีผิวที่สวยงาม 

5 เทคนิคการแต่งรูประดับมืออาชีพด้วยโปรแกรม Photoshop

5.การปรับสีรูปภาพโดยใช้เลเยอร์ Color Balance, เลเยอร์ Levels และเลเยอร์ Hue / Saturation

การใช้เลเยอร์การปรับทั้ง 3 เลเยอร์นี้จะช่วยให้คุณปรับโทนสีให้กับรูปภาพได้ดีขึ้น โดยการเปิดเลเยอร์ Color Balance แล้ว ทำการปรับสีน้ำเงิน สีฟ้า หรือสีม่วงแดงให้กับเงา สีแดง สีเขียว หรือสีเหลืองในโทนสีกลาง และสีแดงหรือสีเหลืองในส่วนไฮไลท์ จะทำให้สีของรูปภาพดูสมจริงยิ่งขึ้น ต่อมาเปิดเลเยอร์ Levels เพื่อใช้ในการปรับระดับสีบนเงาด้วยการเพิ่มสีน้ำเงินและสีเขียว โดยใช้แถบเลื่อนเอาท์พุท เนื่องจากเลเยอร์ Levels อยู่ด้านบนจึงเติมเงาด้วยสีจะทำให้เงาดูเหมือนฟิล์ม จากนั้นใช้ Hue/Sat เพื่อปรับแต่งสี ปรับเฉดสี ความอิ่มตัว และความสว่างของแต่ละสี 

5 เทคนิคการแต่งรูประดับมืออาชีพด้วยโปรแกรม Photoshop

แนะนำโปรแกรมตัดต่อรูปภาพฟรี

ในปัจจุบันต้องยอมรับเลยว่าเราอยู่ในยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง เพราะนอกจากโปรแกรม Photoshop ยังมีโปรแกรมแต่งรูปอีกมากมายทั้งแบบฟรีและแบบเสียเงินที่สามารถใช้งานได้บนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และบนอุปกรณ์มือถือ ซึ่งหากใครกำลังมองหาโปรแกรมแต่งรูปฟรีบนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เราขอแนะนำโปรแกรม GIMP โปรแกรมแต่งรูปที่มีเครื่องมือปรับแต่งขั้นสูงมากมาย เช่น ฟังก์ชันเลเยอร์, มาส์ก, เส้นโค้ง และเลเวล ที่สำคัญสามารถใช้งานได้หลากหลายแพลตฟอร์ม และยังสามารถติดตั้งปลั๊กอินของโปรแกรม Photoshop เพิ่มเข้าไปในโปรแกรมได้อีกด้วย

สนับสนุนโดย

PAPERINDUSTRYMAG.COM

sa gaming

Categories
มือใหม่

6 เทคนิคการถ่ายภาพสินค้าอย่างมืออาชีพด้วยสมาร์ทโฟนเครื่องเดียว

6 เทคนิคการถ่ายภาพสินค้าอย่างมืออาชีพด้วยสมาร์ทโฟนเครื่องเดียว

ในปัจจุบันต้องยอมรับเลยว่าการถ่ายภาพสินค้าถือว่ามีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นยอดขาย และช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับสินค้า ซึ่งเราจะเห็นว่าผู้ประกอบการร้านค้าออนไลน์ส่วนใหญ่มักตัดสินใจถ่ายภาพสินค้าเอง เพื่อประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่าย ซึ่งการถ่ายภาพที่ดีนั้นไม่ได้เกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์เสมอไป เนื่องจากสมัยนี้เราสามารถใช้แค่สมาร์ทโฟนเพียงแค่เครื่องเดียวถ่ายภาพสินค้าให้ออกมาน่าสนใจได้

อย่างไรก็ตาม การภาพถ่ายถือเป็นตัวแทนที่บอกเล่าถึงคุณลักษณะต่าง ๆ ของสินค้าให้แก่ลูกค้าได้รับรู้ก่อนตัดสินใจซื้อสินค้า เนื่องจากลูกค้าไม่มีโอกาสได้เห็นสินค้าจริง จึงต้องตัดสินใจผ่านภาพถ่ายและคําโฆษณาที่เขียนบอกเล่าเท่านั้น ดังนั้นคุณควรต้องถ่ายภาพสินค้าให้ชัดเจน และบอกรายละเอียดให้ครบถ้วน รวมถึงการสื่ออารมณ์ของสินค้าให้ตรงกับการใช้งานมากที่สุด ซึ่งบทความนี้จะพาคุณไปพบกับเทคนิคง่าย ๆ สำหรับการถ่ายภาพสินค้าอย่างไรให้ดึงดูดความสนใจของลูกค้า

6 เทคนิคการถ่ายภาพสินค้าด้วยสมาร์ทโฟน

สำหรับเทคนิคการถ่ายภาพสินค้าด้วยมือถือสิ่งสำคัญที่สุด คือการจัดองค์ประกอบภาพ เครื่องมือที่ใช้ และการตั้งค่ากล้อง รวมถึงวิธีการจัดแสงวัตถุหรือฉาก ซึ่งคุณสามารถเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ได้จากแหล่งข้อมูลออนไลน์ฟรีมากมาย เช่น ช่อง YouTube แต่สำหรับวันนี้ได้จะพาคุณไปดูเทคนิคง่าย ๆ ที่คุณไม่ควรพลาดเกี่ยวกับการถ่ายภาพสินค้าด้วยสมาร์ทโฟนเพียงเครื่องเดียว

1.การใช้แสงธรรมชาติ

การถ่ายภาพสินค้าที่ดีนั้นขึ้นอยู่กับสภาพแสงที่ดีด้วยเช่นกัน ดังนั้นการจัดแสงในสตูดิโอจะช่วยให้คุณควบคุมฉากของคุณได้มากที่สุด แต่อุปกรณ์ค่อนข้างมีราคาแพง หากคุณต้องการประหยัดต้นทุน การใช้แสงธรรมชาติก็ถือเป็นทางเลือกที่ดี เพราะให้รูปลักษณ์ที่เป็นธรรมชาติและใช้ประโยชน์ได้ง่ายมาก แถมยังฟรีอีกด้วย

2.ห้ามซูม

การซูมรูปภาพจะทำให้ความละเอียดของภาพลดลงและคุณภาพของภาพลดลง ดังนั้นหากคุณต้องการภาพสินค้าที่เต็มเฟรมให้พยายามเข้าใกล้สินค้าของคุณให้มากขึ้น 

3.ปิดแฟลช

คุณสมบัติแฟลชของสมาร์ทโฟนจะทำให้ผลลัพธ์ของภาพไม่ตรงตามที่คุณต้องการ เช่น ภาพที่พร่ามัว สว่างจ้า และมีสีไม่ดี ทำให้เกิดความยุ่งยากในการแต่งรูป แต่หากคุณต้องการแสงที่ดีขึ้นให้ถ่ายภาพในสถานที่ที่มีแสงธรรมชาติก็เพียงพอแล้ว

4.ทำความสะอาดผลิตภัณฑ์

ฟังดูเหมือนอาจจะดูง่าย ๆ แต่มันกลับเป็นเทคนิคที่ใครหลายคนมักมองข้ามไปชั่วขณะ ซึ่งก่อนที่คุณจะทำการถ่ายภาพสินค้าคุณควรทำความสะอาดสินค้าให้ดี เพื่อขจัดคราบฝุ่นหรือรอยเปื้อน เพราะสิ่งเหล่านี้อาจทำให้ภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ลดลง

5.การใช้ขาตั้งกล้อง

ไม่ว่าคุณจะใช้กล้อง DSLR หรือสมาร์ทโฟนในการถ่ายภาพสินค้า การใช้ขาตั้งกล้องจะช่วยลดการสั่นของกล้อง ช่วยให้คุณได้ภาพถ่ายที่คมชัด 

6.การถ่ายหลายช็อต

การถ่ายภาพฉากหลาย ๆ ภาพจากมุมและสไตล์ที่ต่างกัน จะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้ภาพที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น และช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นมากขึ้นเมื่อคุณกลับไปแก้ไขในภายหลัง

การแต่งรูปภาพสินค้า

6 เทคนิคการถ่ายภาพสินค้าอย่างมืออาชีพด้วยสมาร์ทโฟนเครื่องเดียว

เมื่อคุณได้ถ่ายภาพสินค้าที่คมชัดมาเป็นชุดแล้ว ให้ลองพิจารณาการใช้โปรแกรมแต่งรูปภาพ เพื่อแก้ไขรูปภาพให้ออกมาสมบูรณ์แบบมากที่สุด เราขอแนะนำแพลตฟอร์มการแก้ไขภาพอย่าง Lightroom ซึ่งมันจะช่วยให้คุณสามารถควบคุมรูปลักษณ์ของภาพถ่ายได้มากขึ้น โดย Lightroom จะทำให้คุณสามารถปรับระดับแสง คอนทราสต์ สี และอื่น ๆ เพื่อให้รูปภาพสินค้าออกมาดูดีที่สุด แต่อาจต้องใช้เวลาการฝึกฝนเพื่อทำความคุ้นเคยกับกระบวนการใช้งานสักระยะหนึ่ง 

Categories
เสียง

แนะนำ 4 โปรแกรมตัดต่อเสียงฟรีที่ดีที่สุด สำหรับการสร้างพอดคาสต์ บทสัมภาษณ์ และการบรรยายที่ยอดเยี่ยม

คนที่ทำงานเกี่ยวกับการสร้างพอดคาสต์ บทสัมภาษณ์ และการบรรยายในรายการที่สามารถรับชมและรับฟังได้ทางอินเทอร์เน็ต ต้องทราบดีว่าโปรแกรมตัดต่อเสียงถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้รายการของคุณมีผลลัพธ์ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ในยุคนี้มีโปรแกรมตัดต่อเสียงดี ๆ มากมายทั้งแบบฟรี และแบบเสียเงิน แต่หากคุณเป็นมือใหม่ที่กำลังมองหาโปรแกรมตัดต่อเสียงเจ๋ง ๆ สักตัวที่ไม่ว่าไม่ว่าคุณจะแก้ไขเนื้อหาประเภทใด ไม่ว่าจะเป็นการสร้างพอดแคสต์หรือคำบรรยายทั่วไปก็สามารถใช้งานได้ง่ายดายและยอดเยี่ยม บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ 4 โปรแกรมตัดต่อเสียงฟรีที่ดีที่สุด สำหรับการสร้างพอดคาสต์ บทสัมภาษณ์ และการบรรยาย เพื่อช่วยให้คุณตัดต่อเสียงได้ง่าย ๆ เพิ่มช่วงการเปลี่ยนภาพและควบคุมเดซิเบลได้ ทำให้เสียงโปรเจ็กต์ของคุณสมบูรณ์แบบ

4 โปรแกรมตัดต่อเสียงฟรีที่ดีที่สุดสำหรับการสร้างพอดคาสต์

แนะนำ 4 โปรแกรมตัดต่อเสียงฟรีที่ดีที่สุด สำหรับการสร้างพอดคาสต์ บทสัมภาษณ์ และการบรรยายที่ยอดเยี่ยม

ใครที่กำลังมองหาโปรแกรมตัดต่อเสียงฟรี สำหรับการสร้างพอดคาสต์ บทสัมภาษณ์ และการบรรยายต้องไม่พลาดกับ 4 โปรแกรมตัดต่อเสียงฟรีที่ดีที่สุดที่เราได้รวบรวมมาในวันนี้ ซึ่งเสียงถือว่าเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างพอดคาสต์ เนื่องจากพ็อดคาสท์เป็นเทปบันทึกเสียงหรือวิดีโอต้นฉบับ แต่ในบางครั้งก็อาจเป็นเทปบันทึกรายการโทรทัศน์หรือรายการวิทยุที่ออกอากาศจริง ดังนั้นการตัดต่อเสียงจึงเป็นขั้นตอนที่ขาดไม่ได้ และการใช้โปรแกรมตัดต่อเสียงดี ๆ จะยิ่งช่วยให้รายการของคุณแสดงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม

1.Audacity

โปรแกรมฟรีที่สามารถปรับแต่งเสียง บันทึกเสียง เล่นเสียง และผสมเสียงหรือทำ effect ด้วยฟิลเตอร์ต่าง ๆ ได้ เช่น การเปลี่ยน การลดเสียงรบกวน หรือแม้แต่ “การตัดความเงียบ” นอกจากนี้ Audacity ยังเป็นเวิร์กสเตชันเสียงดิจิทัล (DAW) ที่ใช้งานได้ง่าย ๆ 

2.Davinci Resolve

โปรแกรมตัดต่อวิดีโอฟรีที่สามารถตัดต่อเสียงได้ ใช้แก้ไขสีของวิดีโอ ตัดต่อวิดีโอแบบง่าย ๆ ไปจนถึงการตัดต่อภาพยนต์ที่ต้องใช้เทคนิค Effect ระดับสูง สำหรับ “การแก้ไขเสียง” มันค่อนข้างจะครอบคลุมทุกสิ่งที่คุณสามารถทำได้สำหรับไฟล์เสียงของคุณภายในโปรแกรม

แนะนำ 4 โปรแกรมตัดต่อเสียงฟรีที่ดีที่สุด สำหรับการสร้างพอดคาสต์ บทสัมภาษณ์ และการบรรยายที่ยอดเยี่ยม

3.Ocenaudio

โปรแกรมทำเพลงฟรีที่รวบรวมครบทุกความต้องการของคุณ ช่วยให้คุณสามารถตัดไฟล์เสียงได้ภายในไม่กี่วินาที เพราะโปรแกรมใช้งานง่ายมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นการปรับเสียงสูง เสียงต่ำ ภายในเนื้อเพลง หรือภายในช่วงเรียวไทม์ อย่างไรก็ตาม คุณสามารถใช้เอฟเฟกต์พื้นฐานบางอย่างได้ เช่น เฟดอิน อีควอไลเซอร์กราฟิก ตลอดจนความสามารถในการย้อนกลับหรือเพิ่มความเร็วไฟล์ของคุณ นอกจากนี้โปรแกรมนี้ยังสนับสนุนการเปิดไฟล์เพลงขึ้นมาพร้อมกันได้ถึง 2 ไฟล์

4.WavePad Sound Editor

โปรแกรมแก้ไขไฟล์เสียง หรือ โปรแกรมแต่งเสียงฟรีที่มีคุณสมบัติหลากหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการตัดต่อเสียง (Cut Copy Paste) ได้ง่าย ๆ หรือการเพิ่มลูกเล่นเสียง เอฟเฟค (Sound Effect) ต่าง ๆ หรือความสามารถในการตัดเสียงรบกวน (Noise) ทำเสียงให้เงียบ และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้โปรแกรมยังรองรับไฟล์ที่มีอัตรา Samepl Rate ที่ระหว่าง 6 – 96 kHz ทั้งระบบเสตอริโอ หรือโมโน และตั้งแต่แบบ 8 บิต จนถึง 32 บิต อีกทั้งยังมีลูกเล่นเสียงต่าง ๆ มากมาย ทำให้คุณประหยัดเวลา และสะดวกในการใช้งาน

สิ่งที่สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ฟังพ็อดคาสท์

แนะนำ 4 โปรแกรมตัดต่อเสียงฟรีที่ดีที่สุด สำหรับการสร้างพอดคาสต์ บทสัมภาษณ์ และการบรรยายที่ยอดเยี่ยม

นอกจากโปรแกรมตัดต่อเสียงจะมีความสำคัญสำหรับการสร้างพ็อดคาสท์แล้ว การเลือกใช้เพลงก็ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ผู้ผลิตพ็อดคาสท์ไม่ควรมองข้าง โดยปกติแล้วคุณสามารถเริ่มต้นสร้างพอดแคสต์ได้ง่าย ๆ เพียงแค่มีไมโครโฟนพื้นฐาน, ซอฟต์แวร์ตัดต่อเสียง และหัวข้อ ซึ่งสิ่งที่สร้างความประทับใจให้ผู้ฟังมี 2 อย่าง คือเนื้อหาของพ็อดคาสท์ที่ดีและการเลือกเพลงอินโทรที่เข้ากับเนื้อหา และต้องถูกลิขสิทธิ์ด้วยนะคะ

Categories
Uncategorized

วิธีตัดเสียงรบกวนในวิดีโออย่างมีประสิทธิภาพด้วยโปรแกรม DaVinci Resolve 16

วิธีตัดเสียงรบกวนในวิดีโออย่างมีประสิทธิภาพด้วยโปรแกรม DaVinci Resolve 16

นักตัดต่อวิดีโอมืออาชีพหลายคนคงทราบกันดีว่าคุณภาพของเสียงนั้นมีความสำคัญมากพอ ๆ กับคุณภาพของวีดีโอและเนื้อหาในวีดีโอ ดังนั้นนักตัดต่อวิดีโอที่ดีควรมีความรู้เกี่ยวกับเทคนิคการตัดเสียงรบกวนในวิดีโอ เนื่องจากเสียงรบกวนในวิดีโอ เป็นเสียงที่คุณไม่พึงประสงค์ให้อยู่ในวิดีโอ เช่น เสียงสุนัขเห่า เสียงการจราจรบนท้องถนน และเสียงบทสนทนาของบุคคลอื่นที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาในวิดีโอ เสียงเหล่านี้จะทำให้ผู้ชมวิดีโอรู้สึกรำคาญ หรือไม่เข้าใจถึงเนื้อหาที่แท้จริงของวิดีโอที่ต้องการจะสื่อ ซึ่งนักตัดต่อวิดีโอส่วนใหญ่จะใช้โปรแกรมตัดต่อวิดีโอที่สามารถตัดต่อเสียงได้ เพื่อใช้ตัดเสียงรบกวนในวิดีโอ 

ในปัจจุบันมีโปรแกรมตัดต่อวิดีโอที่ได้รับความนิยมหลากหลาย และสามารถตัดต่อเสียงได้ด้วย เช่น Final Cut Pro, Adobe Premiere, Sony Vegas Movie Studio ซึ่งโปรแกรมเหล่านี้เป็นโปรแกรมที่ติดลิขสิทธ์ แต่หากคุณกำลังมองหาโปรแกรมตัดต่อดี ๆ และเป็นโปรแกรมประเภทฟรีแวร์ (Freeware) เจ๋ง ๆ เพื่อประหยัดเงินในกระเป๋า เราขอแนะนำโปรแกรม Davinci Resolve 16 ซึ่งเป็นโปรแกรมตัดต่อวิดีโอแบบง่าย ๆ ไปจนถึงการตัดต่อภาพยนต์ที่ใช้เทคนิค Effect ระดับสูง บทความนี้จะพาคุณไปพบกับวิธีตัดเสียงรบกวนในวิดีโออย่างมืออาชีพด้วยโปรแกรม DaVinci Resolve 16 เพื่อช่วยให้วิดีโอของคุณมีประสิทธิภาพและสมบูรณ์แบบ

วิธีตัดเสียงรบกวนในวิดีโอด้วยโปรแกรม DaVinci Resolve 16

วิธีตัดเสียงรบกวนในวิดีโออย่างมีประสิทธิภาพด้วยโปรแกรม DaVinci Resolve 16

โปรแกรม Davinci Resolve เป็นโปรแกรมตัดต่อวิดีโอที่สามารถตัดเสียงรบกวนในวิดีโอได้ และได้ถูกพัฒนาโดยบริษัท Blackmagic Design ซึ่งเป็นบริษัทที่จำหน่ายกล้องถ่ายทำภาพยนต์อันดับต้น ๆ ของโลก และได้มีการพัฒนาโปรแกรม Davinci Resolve หลากหลายเวอร์ชั่น สามรถใช้งานได้บนอุปกรณ์ PC ซึ่งวันนี้เราจะพาคุณไปพบกับวิธีการตัดเสียงรบกวนในวิดีโอด้วยโปรแกรม DaVinci Resolve เวอร์ชั่น 16 โดยมีขั้นตอนดังนี้

1. เปิดโปรแกรม Davinci Resolve แล้วเริ่ม import ไฟล์วิดีโอที่ต้องการแก้ไขโดยไปที่ File > Import File > Import Media

2. จากนั้นให้คลิกขวาแล้วไปที่ Create New Timeline ที่ไฟล์ที่ต้องการลดเสียงรบกวน

3. ไปที่ Effects Libary เมื่อกดเข้าไปแล้ว ให้สังเกตที่ด้านซ้ายมือจะมีหน้าต่างขึ้นมา ให้เลือก Audio FX > Noise Reduction จากนั้นลากไว้ที่ไฟล์เสียงของวิดีโอ

4. เมื่อลากไว้ที่ไฟล์แล้ว จะมีหน้าต่างขึ้นมา ให้เลือก Auto Speech Mode จากนั้นกด esc ออกได้เลย เพียงเท่านี้ก็เสร็จสิ้นการตัดเสียงรบกวนในวิดีโอแล้วค่ะ

บทสรุป

วิธีตัดเสียงรบกวนในวิดีโออย่างมีประสิทธิภาพด้วยโปรแกรม DaVinci Resolve 16

โปรแกรม Davinci Resolve เป็นอีกหนึ่งโปรแกรมตัดต่อวิดีโอที่สามารถตัดเสียงรบกวนในวิดีโอที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากมันเป็นโปรแกรมฟรีแวร์ (Freeware) ที่ใคร ๆ ก็สามารถเข้าไปใช้งานได้ และยังมีอินเทอร์เฟซผู้ใช้ที่มีประสิทธิภาพสูง ถึงแม้ว่า Davinci Resolve จะไม่สามารถจัดเรียงพื้นที่ทำงานใหม่ได้เหมือนใน After Effects และ Premiere Pro แต่คุณไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ เพราะทุกสิ่งที่คุณต้องการสามารถหาได้ง่าย ๆ ในคลิกเดียวเหมือนกับการใช้ทรานซิชัน ข้อความ และเอฟเฟกต์ก็มีการดำเนินการที่ราบรื่นเช่นกัน อย่างไรก็ตามแม้ว่าทุกอย่างจะดูใช้งานง่ายใน Resolve แต่การลบสัญญาณรบกวนยังคงสร้างความสับสนให้แก่ผู้ใช้งานมือใหม่เล็กน้อย ดังนั้นก่อนที่คุณจะทำการตัดเสียงรบกวนในวิดีโอให้เรียนรู้เกี่ยวกับการใช้เครื่องมือลดสัญญาณรบกวนที่มีใน Resolve เวอร์ชั่น Studio เสียก่อน เพื่อช่วยให้การตัดต่อวิดีโอของคุณดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว